วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำไมคูรักถึงหน่าคล้ายกัน



   พอมีคู่รัก คนรัก คนชอบมาพูดต่อหน้า แอบซุบซิบว่า หน้าตาเราเหมือนแฟนจัง เราก็คิดในใจว่า ไม่เห็นเหมือนเลย คนนี้มองยังไง ถึงเหมือน… ลองอ่านข้อความนี้ดูค่ะ

การเลียนแบบวิธีแสดงสีหน้าซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ตัว สังเกตได้จากคู่รักที่รักกันมานาน หรือ เรามีแฟนแล้วถ่ายรูปออกมา คนอื่นมองว่าทำไมหน้าเหมือนกันเป๊ะ เมื่อก่อนไม่เห็นรู้สึกว่าหน้าเหมือนกันขนาดนี้

เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันไป เราจะเริ่มเลียนแบบวิธียิ้มของเขา ยิ้มนั้นจะไปอยู่ในจิตไร้สำนึกของเรา เดินเริ่มคล้าย ๆ กัน มีบุคลิกเหมือนกัน รวมถึงการใช้คำศัพท์ เช่น เมื่อก่อนผู้ชายไม่เคยพูดคำศัพท์พวกนี้ มาอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาก ๆ พูดเป็นอีกอย่างหนึ่งแล้ว หรือ เมื่อก่อนผู้ชายเป็นคนขี้อายมาก พออยู่กับผู้หญิงขี้เล่นเปิดตัวหน่อย เขาก็จะเริ่มเปิดตัวมากขึ้น คือ จะค่อย ๆ จูนเข้าหากัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้บังคับ แต่เป็นไปเอง ถึงแม้ต่างเชื้อชาติ ซึ่งไม่ควรจะหน้าเหมือนกัน แต่พอถ่ายรูปทำไมยิ้มเหมือนกัน เพราะอยู่ด้วยกันมานานมาก ๆ ก็จะเกิดการเลียนแบบโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

ฝึกสุนัข



     เจ้าของน้องหมาที่นำน้องหมาเข้าไปเลี้ยงภายในคอนโดต้องมีความรับผิดชอบต่อ สังคม ไม่สร้างภาระ หรือความเดือนร้อนให้แก่คนอื่นๆ ภายในคอนโด หากน้องหมาอึ หรือฉี่ บริเวณนอกห้อง หรือที่สาธารณะต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย ... คงไม่มีใครชอบถ้าเดินๆ  อยู่แล้วมีอึน้องหมาติดรองเท้า = ="



สายจูงคล้องใจ



     เพื่อความปลอดภัย และป้องกันปัญหาน้องหมากัดกัน การมีสายจูงไว้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้เราสามารถควบคุมน้องหมาให้อยู่ข้างกาย ปลอดภัยทั้งน้องหมาของเขาและของเราเลยค่ะ

   

สุขภาพแข็งแรงคือสิ่งสำคัญ



     พื้นที่ในคอนโดอาจไม่กว้างพอที่น้องหมาจะวิ่งเล่นได้ เพื่อนๆ จึงต้องหมั่นพาน้องหมาออกไปวิ่งเล่น ออกกำลังกาย ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อมข้างนอกบ้าง นั่นก็เพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งยังทำให้น้องหมาไม่เครียดด้วยนะคะ



หมั่นตรวจสุขภาพ พื้นฐานที่ต้องทำ ...



     คงไม่มีใครอยากให้น้องหมาแสนรักต้องจากไป การหมั่นพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรักสุนัขไม่ควรละเลยค่ะ





    เมื่อเรามีโอกาสนำน้องหมาเข้าไป เลี้ยงในคอนโดแล้ว เราก็อย่าลืมรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างภาระ หรือความเดือนร้อนให้แก่คนอื่นๆ ด้วยนะคะ และเพื่อนๆ ก็ต้องรัก และดูแลใส่ใจน้องหมามากๆ ... เพราะว่าเค้าจะอยู่เป็นเพื่อนเราไปอีกนานค่ะ นอกจากนี้เพื่อนๆ ควรสอบถามกฏระเบียบของคอนโด รวมถึงอพาร์ทเม้นท์ และหอพักแต่ละแห่งด้วยนะคะ ว่าที่ไหนอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นำสัตว์เข้าไปเลี้ยง ศึกษาและทำอย่างถูกต้องจะดีที่สุดและไม่เกิดปัญหาภายหลังนะคะ^^"



ที่มา



http://www.dogilike.com/content/tip/1819/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94.php

ทำอย่างไรให้รักไม่เป็นของตาย


ใครที่มีปัญหาเรื่องคู่ของคุณ ลองทำตามนี้ค่ะ



     1. หัดไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หลายคนพอมีคู่รักแล้วมักจะตัดขาดกับเพื่อนฝูงราวกับชีวิตนี้ไม่ต้องมีใครแล้วก็ได้ เพื่อนชวนไปเที่ยว ช้อปปิ้ง ดูหนังก็เบี้ยวเพื่ออยู่ร่ำไประวังเถอะสุดท้ายจะไม่เหลือใครถ้ามัวแต่คอยเกาะแฟนแจขนาดนี้การมีเพื่อนทำให้ชีวิตคุณสดใสไม่หยุดนิ่งกับที่ ยิ่งไปไหนกับเพื่อนๆ โดยไม่มีแฟนก็ยิ่งเป็นการบริหารเสน่ห์ให้ตัวคุณได้มากโขและจะทำให้เขากังวลถึงคุณมากขึ้นอีกด้วย ดีมั้ยล่ะ!
     2. คุยกับหนุ่มคนอื่นบ้าง ทีเขายังมีเพื่อนผู้หญิงได้เลย จะมัวไปคอยตามหึงตามหวงเขากับเพื่อนสาวทำไมกัน คุณเองก็มีเพื่อนต่างเพศได้เหมือนกันนะ ลองเปิดใจมีเพื่อนผู้ชายไว้บ้างก็ได้ แค่อย่าคิดอะไรเกินเลยเท่านั้นละ (อย่าลืมว่าเราแค่กำลังทำให้ตัวเองไม่เป็นของตาย) ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่ทำงานด้วยกัน หรือเพื่อนผู้ชายที่ไปเปรี้ยวกันได้เป็นกลุ่มๆ ก็ทำให้เขาร้อนๆ หนาวๆ ได้ตลอดเวลาจนต้องโทรหาคุณตลอดแล้วล่ะ
     3. ชมผู้ชายคนอื่นอย่างออกหน้า ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นดารา เป็นนักการเมือง เป็นผู้ชายเก่งๆ หรือเพื่อนของคุณ คุณก็สามารถเอ่ยคำชมถึงคนเหล่านั้นให้คู่ของคุณฟังได้ (เช่น หนุ่มๆ ใน HAIRWORLD เล่มนี้) ไม่ใช่เอะอะก็ชมแต่เขาคนเดียวจนตัวลอย และยังเป็นเคล็ดลับทางอ้อมให้เขารีบพัฒนาตัวเอง ลุกขึ้นมาแต่งตัวดีๆ และทำสิ่งดีๆ ให้กับคุณอีกด้วย แต่ข้อห้ามก็คือชมคนอื่นได้แต่อย่าได้เอาเขาไปเปรียบเทียบด้วยล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องกันพอดี
     4. เป็นสาว Shopaholic ดูซะบ้าง ผู้หญิงบางคนไม่ชอบแต่งตัวเพราะคิดว่าไม่ต้องการใครอีกแล้ว ไม่ก็โดนแฟนเบรกเวลาจะซื้อเสื้อสวยๆ สักตัว จากสาวงามระดับดาวมหาลัยเลยกลายเป็นป้าไปในบัดดล เวลาไปเที่ยวกับเขาก็แต่งตัวเรียบๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อยากบอกว่า “อย่ายอมเด็ดขาด” ไม่มีเหตุผลไหนดีพอที่จะทำให้ผู้หญิงเลิกแต่งตัวสวย ไม่ว่าคุณจะมีลูกแล้วหรือย่างเข้าวัย 40 แล้วก็ตาม ขยันแต่งตัวให้ได้อย่างป้ามาดอนน่าหรือเคมี่มัวร์ดูบ้าง ออกไปช้อปปิ้งกับเพื่อนฝูงหรือไปคนเดียวก็ได้ (ไม่ต้องให้เขามาขัด) พอคุณสวยแล้วก็จะมีหนุ่มๆ มามองเยอะแยะ เขาก็ยิ่งจะหวง (ก้าง) มากขึ้นเท่านั้น รับรองว่าจะต้องกังวลสายตาคนอื่นจนไม่มีกะจิตกะใจมองสาวคนใดอีกต่อไปแล้ว
     5. รักษาหุ่นให้เป๊ะตลอด ผู้หญิงเรานี่ก็แปลก เวลาเห็นแฟนหนุ่มมองสาวคนอื่นๆ เป็นต้องลมออกหูไปเสียทุกครั้ง แต่ไม่เคยดูตัวเองในกระจกเลยว่าทำไมเขาถึงชอบชายตาหาสาวสวยอยู่เรื่อย หันมาดูแลตัวเองให้สวยเช้งตลอดเวลาดีกว่า ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร รักษารูปร่างให้ดูดีเหมือนตอนแรกๆ ที่คุณเจอกัน ไม่ใช่เห็นว่าตัวเองมีแฟนแล้วก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว อย่าเชื่อผู้ชายที่บอกว่าคุณไม่อ้วน คุณต่างหากที่ต้องตัดสินตัวเอง ยังไงเสียแล้วคนหุ่นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่หลงไม่รักให้มันรู้ไป!
     6. แกล้งทำตัวห่างเหิน ปล่อยให้เขาคิดถึงคุณจนเกิดอาการจิตหลอนด้วยการปฏิเสธที่จะเจอกันทุกวันเหมือนแต่ก่อน จากนั้นคุณก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ตะลุยราตรีหรือจะไปเสริมสวย เข้าสปาให้สบายจิตก็ย่อมได้ นี่ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เขาโหยหาคุณจนแทบคลั่งได้เหมือนกัน
     7. ใช้ Internet ให้เป็นประโยชน์ เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการบริหารเสน่ห์ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Myspace, Facebook หรือ Hi5 โพสต์รูปสวยๆ แบบไม่ต้องมีแฟนประกบข้างเยอะๆ เข้าไว้ เวลามีหนุ่มๆ เข้ามาคุยก็ตอบไปแบบพอหอมปากหอมคอ ถ้าให้เด็ดต้องหาเพื่อนเป็นหนุ่มน่ารักๆ ไว้คอยคุยแก้เหงากุ๊กกิ๊กให้ฉ่ำหัวใจ ถ้าแฟนหนุ่มเขาจะทำบ้างก็ปล่อยเขาไปถือว่าแฟร์กันทั้งสองฝ่าย ผู้ชายถ้ายิ่งไม่หวงเขาจะยิ่งหลงเราเหมือนอยากจะเอาชนะ ของอย่างงี้อย่าไปยอมง่ายๆ ก็เราเป็นสาวฮอตอยู่แล้วนี่นา
     8. โทรหาเขาน้อยๆ หน่อยนะ เลิกโทรศัพท์หาเขาทุกชั่วโมงได้แล้ว มันน่าเบื่อจะตายที่ต้องฟังเสียงคุณทั้งวัน โทรไปแค่พักกลางวันกับหลังเลิกงานก็น่าจะพอเพียง (แถมก่อนนอนให้อีกหน่อยก็ได้นะ) แต่ถ้าจะให้ดีคุณลองไม่ต้องโทรเลย ปล่อยให้เขาโทรมาหาคุณเองจะดีที่สุด แล้วถ้าเขาโทรมาก็ไม่ต้องรีบรับ ปล่อยให้ดังนานๆ หรือหลุดไปบ้างก็ได้ จากนั้นก็ค่อยโทรกลับไปทำอย่างนี้หลายๆ วันเข้า รับรองว่าเขาจะต้องคลั่งโทรหาคุณทั้งวันอย่างแน่นอน

      บางทีถ้าเราทำแล้ว ไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาเลย ลองพิจารณาใหม่นะคะ ว่าเค้ารักเราจริงๆหรือเปล่า

ผัก


     
ผักเป็นอาหารมากคุณค่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนานาชนิด ช่วยปกป้องเราจากโรคร้ายต่างๆ ผักที่เรากินทุกวันนี้แบ่งได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ตามเม็ดสี ซึ่งให้คุณประโยชน์แตกต่างกันไป เราควรจึงกินผักให้ได้หลากหลายสีในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารเต็มที่

     ผักสีแดง เช่น พริกแดง มะเขือเทศ เกิดจากเม็ดสีในกลุ่ม ไลโคฟีน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างการ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง

     ผักสีส้ม สีเหลือง มาจากเม็ดสีกลุ่ม แคโรทีนอยด์ วิตามินเอ วิตามินซี ช่วยบำรุงสายตาทำให้มองเห็นได้มีในตอนกลางคืน ป้องกันโรคต้อกระจก บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ผักสีส้มและสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท

     ผักสีเขียว เช่น ผักใบเขียวต่างๆ มาจากกลุ่มเม็ดสีที่ชื่อว่า คลอโรฟิลล์ และสารประเภทอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็มเอไม่ให้ถูกทำลายจนกลายเป็นเนื้อร้าย รักษาหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกายและช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อ ผลเสียต่อสุขภาพบำรุงสมองและความจำ และบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ

     ผักสีขาว สีน้ำตาลอ่อน มาจากเม็ดสีกลุ่ม แอนโทแซนทิน ผักในกลุ่มนี้เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ เห็น เซเลอรี มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ต่อต้านการเกิดเนื้องอก ป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ ต้านการติดเชื้อ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเสริมภูมิคุ้มกัน

ที่มา
http://www.samngam.ac.th/index.php/2011-06-06-07-07-42/2011-06-07-12-53-21/2011-06-08-08-22-36


>>> 13 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้องแมวเหมียว <<<



1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก
       
สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง

2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย

ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่

3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์

เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง

4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้

แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น  ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน

5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?

จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้



6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ

เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง

7. ช็อกโกแลต ของอันตรายสำหรับแมว

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินช็อกโกแลต ก็ขอให้เก็บช็อกโกแลตไว้ให้พ้นสายตาหรือจมูกของเจ้าเหมียวให้ดี เพราะช็อกโกแลตที่แสนอร่อยของเรานั้น กลับเป็นอันตรายต่อแมว เพราะเมื่อแมวกินช็อกโกแลตจะทำให้มันป่วยหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

8. แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว

ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง

9. แมวไม่ชอบสบตาใคร

พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ

10. จังหวะการเต้นของหัวใจน้องเหมียว

โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของแมวจะอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตของมันด้วย ซึ่งยิ่งมันมีอายุน้อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจมันก็จะเร็วกว่าแมวที่มีอายุมากแล้ว

11. แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!

บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ

12. เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน

คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ

13. แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?
ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง

ที่มา
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2411061

5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่



5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่


 
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
      ไข่ไก่ที่เรากินทุกวันนี้เป็นไข่ที่ไม่ผ่านกระบวนการปฏิสนธิ คือไม่มีการผสมกันระหว่างเชื้อของตัวผู้และไข่ของตัวเมีย แต่ในระบบสืบพันธุ์ของไก่ตัวเมียจะมีรังไข่และท่อรังไข่ รังไข่นี้มีหน้าที่ผลิตไข่ ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว

2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
      เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ หากจะกินไข่ลวก ควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน

3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
      เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่าง ๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร

4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
      การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง

5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
      - ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยน
      - ไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิว
      - เปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง

ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต


ดูเหมือนเกือบทุกคนรู้วิธีจูบ แต่อาจไม่รู้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่น่าสนใจของการจุมพิต ยกตัวอย่างเช่นการจูบดีต่อเราหรือไม่? ควรจูบลาภรรยาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า? คนญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศจูบกันแบบไหน? จูบทำให้ผอมลงได้จริงหรือ?
     
        ต่อนี้ไปคือ ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต

       1 การจูบทำให้กล้ามเนื้อ 29 ส่วนบนใบหน้ามีการเคลื่อนไหว หมายความว่าการจูบเป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันความเหี่ยวย่น
     
       2 ในน้ำลายที่คู่รักแลกเปลี่ยนกันระหว่างการจูบประกอบด้วยสารต่างๆ มากมาย อาทิ ไขมัน เกลือแร่ โปรตีน จากการศึกษาล่าสุดพบว่า การแลกเปลี่ยนสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้มาจัดการกับเชื้อโรคชนิดต่างๆ ที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย
     
       3 คน 66% หลับตาขณะจุมพิต ที่เหลือลืมตาชื่นชมอารมณ์บนใบหน้าของคนที่ประกบปากกันอยู่
     
       4 จากสถิติของสหรัฐฯ ผู้หญิงอเมริกันเคยจูบผู้ชาย 80 คนโดยเฉลี่ยก่อนแต่งงาน
     
       5 การจูบแบบเร่าร้อนแต่รวดเร็วเผาผลาญไขมันเพียง 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าจูบแบบเฟรนช์คิส ไขมันจะถูกเผาผลาญมากกว่า 5 แคลอรี่
     
       6 ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ามากกว่านิ้วถึง 200 เท่า
     
       7 เชื่อกันว่า ผู้ชายที่จูบภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน มีชีวิตคู่ยืนยาวกว่าผู้ชายที่ออกจากบ้านโดยไม่ร่ำลาภรรยาถึง 5 ปี และผู้ชายกลุ่มหลังมีแนวโน้มสูงที่จะประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
     
       8 การจุมพิตอย่างดื่มด่ำแค่ 90 วินาที ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรง ระดับฮอร์โมนในเลือดสูบฉีด ส่งผลให้อายุสั้นลง 1 นาที
     
       9 คนฝรั่งเศสเรียก ‘เฟรนช์คิสส์’ ว่า ‘จุดนัดพบของวิญญาณ’ เฟรนช์คิสส์คือการจูบที่ใช้ทั้งริมฝีปากและลิ้น นอกจากนั้น นักรักแดนน้ำหอมยังคิดค้นวิธีจูบอีกแบบที่ใช้ลิ้นเพียงอย่างเดียว
     
       10 ชาวเอสกิโมไม่ได้แค่เอาจมูกถูกันเพื่อแสดงความรักใคร่เท่านั้น แต่ขณะที่เอาจมูกเข้าไปชนกับฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากของชาวเอสกิโมจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึกและปล่อยลมหายใจออกมาขณะเม้มริมฝีปากลง หลังจากสูดกลิ่นของกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จึงผลัดกันหอมแก้มโดยฝังจมูกไว้ที่แก้มฝ่ายตรงข้ามราวหนึ่งนาที
     
       11 การจุมพิตในที่สาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเกาหลี การจูบแบบดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัยยังดูเหมือนเป็นการตำหนิพฤติกรรมผิดศีลธรรมของคนตะวันตกกลายๆ กล่าวคือ คู่รักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ก่อนค้อมศรีษะเข้าหากันและประทับริมฝีปากอยู่แค่เสี้ยววินาที
     
       12 ระหว่างการจูบ ร่างกายจะผลิตสารที่มีฤทธิ์ในการเสพติดมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่า คู่รักจึงรู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
     
       13 การจูบช่วยให้ผู้หญิงผ่อนคลายและสลายความเครียด
     
       14 โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลา 20,160 นาที (2 สัปดาห์) ตลอดชีวิตในการจูบ
     
       15 จูบ 1 นาที ปลดปล่อยไขมันจากร่างกาย 26 แคลอรี่
     
       16 เกือบทุกคนบนโลกสัมผัสประสบการณ์ ‘จูบแรก’ ก่อนอายุ 14 ปี

ที่มา


ดูเหมือนเกือบทุกคนรู้วิธีจูบ แต่อาจไม่รู้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่น่าสนใจของการจุมพิต ยกตัวอย่างเช่นการจูบดีต่อเราหรือไม่? ควรจูบลาภรรยาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า? คนญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศจูบกันแบบไหน? จูบทำให้ผอมลงได้จริงหรือ?
     
        ต่อนี้ไปคือ ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต

       1 การจูบทำให้กล้ามเนื้อ 29 ส่วนบนใบหน้ามีการเคลื่อนไหว หมายความว่าการจูบเป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันความเหี่ยวย่น
     
       2 ในน้ำลายที่คู่รักแลกเปลี่ยนกันระหว่างการจูบประกอบด้วยสารต่างๆ มากมาย อาทิ ไขมัน เกลือแร่ โปรตีน จากการศึกษาล่าสุดพบว่า การแลกเปลี่ยนสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้มาจัดการกับเชื้อโรคชนิดต่างๆ ที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย
     
       3 คน 66% หลับตาขณะจุมพิต ที่เหลือลืมตาชื่นชมอารมณ์บนใบหน้าของคนที่ประกบปากกันอยู่
     
       4 จากสถิติของสหรัฐฯ ผู้หญิงอเมริกันเคยจูบผู้ชาย 80 คนโดยเฉลี่ยก่อนแต่งงาน
     
       5 การจูบแบบเร่าร้อนแต่รวดเร็วเผาผลาญไขมันเพียง 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าจูบแบบเฟรนช์คิส ไขมันจะถูกเผาผลาญมากกว่า 5 แคลอรี่
     
       6 ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ามากกว่านิ้วถึง 200 เท่า
     
       7 เชื่อกันว่า ผู้ชายที่จูบภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน มีชีวิตคู่ยืนยาวกว่าผู้ชายที่ออกจากบ้านโดยไม่ร่ำลาภรรยาถึง 5 ปี และผู้ชายกลุ่มหลังมีแนวโน้มสูงที่จะประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
     
       8 การจุมพิตอย่างดื่มด่ำแค่ 90 วินาที ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรง ระดับฮอร์โมนในเลือดสูบฉีด ส่งผลให้อายุสั้นลง 1 นาที
     
       9 คนฝรั่งเศสเรียก ‘เฟรนช์คิสส์’ ว่า ‘จุดนัดพบของวิญญาณ’ เฟรนช์คิสส์คือการจูบที่ใช้ทั้งริมฝีปากและลิ้น นอกจากนั้น นักรักแดนน้ำหอมยังคิดค้นวิธีจูบอีกแบบที่ใช้ลิ้นเพียงอย่างเดียว
     
       10 ชาวเอสกิโมไม่ได้แค่เอาจมูกถูกันเพื่อแสดงความรักใคร่เท่านั้น แต่ขณะที่เอาจมูกเข้าไปชนกับฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากของชาวเอสกิโมจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึกและปล่อยลมหายใจออกมาขณะเม้มริมฝีปากลง หลังจากสูดกลิ่นของกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จึงผลัดกันหอมแก้มโดยฝังจมูกไว้ที่แก้มฝ่ายตรงข้ามราวหนึ่งนาที
     
       11 การจุมพิตในที่สาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเกาหลี การจูบแบบดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัยยังดูเหมือนเป็นการตำหนิพฤติกรรมผิดศีลธรรมของคนตะวันตกกลายๆ กล่าวคือ คู่รักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ก่อนค้อมศรีษะเข้าหากันและประทับริมฝีปากอยู่แค่เสี้ยววินาที
     
       12 ระหว่างการจูบ ร่างกายจะผลิตสารที่มีฤทธิ์ในการเสพติดมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่า คู่รักจึงรู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
     
       13 การจูบช่วยให้ผู้หญิงผ่อนคลายและสลายความเครียด
     
       14 โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลา 20,160 นาที (2 สัปดาห์) ตลอดชีวิตในการจูบ
     
       15 จูบ 1 นาที ปลดปล่อยไขมันจากร่างกาย 26 แคลอรี่
     
       16 เกือบทุกคนบนโลกสัมผัสประสบการณ์ ‘จูบแรก’ ก่อนอายุ 14 ปี

ที่มา


ดูเหมือนเกือบทุกคนรู้วิธีจูบ แต่อาจไม่รู้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่น่าสนใจของการจุมพิต ยกตัวอย่างเช่นการจูบดีต่อเราหรือไม่? ควรจูบลาภรรยาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า? คนญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศจูบกันแบบไหน? จูบทำให้ผอมลงได้จริงหรือ?
     
        ต่อนี้ไปคือ ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต

       1 การจูบทำให้กล้ามเนื้อ 29 ส่วนบนใบหน้ามีการเคลื่อนไหว หมายความว่าการจูบเป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันความเหี่ยวย่น
     
       2 ในน้ำลายที่คู่รักแลกเปลี่ยนกันระหว่างการจูบประกอบด้วยสารต่างๆ มากมาย อาทิ ไขมัน เกลือแร่ โปรตีน จากการศึกษาล่าสุดพบว่า การแลกเปลี่ยนสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้มาจัดการกับเชื้อโรคชนิดต่างๆ ที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย
     
       3 คน 66% หลับตาขณะจุมพิต ที่เหลือลืมตาชื่นชมอารมณ์บนใบหน้าของคนที่ประกบปากกันอยู่
     
       4 จากสถิติของสหรัฐฯ ผู้หญิงอเมริกันเคยจูบผู้ชาย 80 คนโดยเฉลี่ยก่อนแต่งงาน
     
       5 การจูบแบบเร่าร้อนแต่รวดเร็วเผาผลาญไขมันเพียง 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าจูบแบบเฟรนช์คิส ไขมันจะถูกเผาผลาญมากกว่า 5 แคลอรี่
     
       6 ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ามากกว่านิ้วถึง 200 เท่า
     
       7 เชื่อกันว่า ผู้ชายที่จูบภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน มีชีวิตคู่ยืนยาวกว่าผู้ชายที่ออกจากบ้านโดยไม่ร่ำลาภรรยาถึง 5 ปี และผู้ชายกลุ่มหลังมีแนวโน้มสูงที่จะประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
     
       8 การจุมพิตอย่างดื่มด่ำแค่ 90 วินาที ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรง ระดับฮอร์โมนในเลือดสูบฉีด ส่งผลให้อายุสั้นลง 1 นาที
     
       9 คนฝรั่งเศสเรียก ‘เฟรนช์คิสส์’ ว่า ‘จุดนัดพบของวิญญาณ’ เฟรนช์คิสส์คือการจูบที่ใช้ทั้งริมฝีปากและลิ้น นอกจากนั้น นักรักแดนน้ำหอมยังคิดค้นวิธีจูบอีกแบบที่ใช้ลิ้นเพียงอย่างเดียว
     
       10 ชาวเอสกิโมไม่ได้แค่เอาจมูกถูกันเพื่อแสดงความรักใคร่เท่านั้น แต่ขณะที่เอาจมูกเข้าไปชนกับฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากของชาวเอสกิโมจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึกและปล่อยลมหายใจออกมาขณะเม้มริมฝีปากลง หลังจากสูดกลิ่นของกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จึงผลัดกันหอมแก้มโดยฝังจมูกไว้ที่แก้มฝ่ายตรงข้ามราวหนึ่งนาที
     
       11 การจุมพิตในที่สาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเกาหลี การจูบแบบดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัยยังดูเหมือนเป็นการตำหนิพฤติกรรมผิดศีลธรรมของคนตะวันตกกลายๆ กล่าวคือ คู่รักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ก่อนค้อมศรีษะเข้าหากันและประทับริมฝีปากอยู่แค่เสี้ยววินาที
     
       12 ระหว่างการจูบ ร่างกายจะผลิตสารที่มีฤทธิ์ในการเสพติดมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่า คู่รักจึงรู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
     
       13 การจูบช่วยให้ผู้หญิงผ่อนคลายและสลายความเครียด
     
       14 โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลา 20,160 นาที (2 สัปดาห์) ตลอดชีวิตในการจูบ
     
       15 จูบ 1 นาที ปลดปล่อยไขมันจากร่างกาย 26 แคลอรี่
     
       16 เกือบทุกคนบนโลกสัมผัสประสบการณ์ ‘จูบแรก’ ก่อนอายุ 14 ปี

ที่มา
http://blog.eduzones.com/wananthicha/10558