วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556
ทำไมคูรักถึงหน่าคล้ายกัน
พอมีคู่รัก คนรัก คนชอบมาพูดต่อหน้า แอบซุบซิบว่า หน้าตาเราเหมือนแฟนจัง เราก็คิดในใจว่า ไม่เห็นเหมือนเลย คนนี้มองยังไง ถึงเหมือน… ลองอ่านข้อความนี้ดูค่ะ
การเลียนแบบวิธีแสดงสีหน้าซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ตัว สังเกตได้จากคู่รักที่รักกันมานาน หรือ เรามีแฟนแล้วถ่ายรูปออกมา คนอื่นมองว่าทำไมหน้าเหมือนกันเป๊ะ เมื่อก่อนไม่เห็นรู้สึกว่าหน้าเหมือนกันขนาดนี้
เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันไป เราจะเริ่มเลียนแบบวิธียิ้มของเขา ยิ้มนั้นจะไปอยู่ในจิตไร้สำนึกของเรา เดินเริ่มคล้าย ๆ กัน มีบุคลิกเหมือนกัน รวมถึงการใช้คำศัพท์ เช่น เมื่อก่อนผู้ชายไม่เคยพูดคำศัพท์พวกนี้ มาอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาก ๆ พูดเป็นอีกอย่างหนึ่งแล้ว หรือ เมื่อก่อนผู้ชายเป็นคนขี้อายมาก พออยู่กับผู้หญิงขี้เล่นเปิดตัวหน่อย เขาก็จะเริ่มเปิดตัวมากขึ้น คือ จะค่อย ๆ จูนเข้าหากัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้บังคับ แต่เป็นไปเอง ถึงแม้ต่างเชื้อชาติ ซึ่งไม่ควรจะหน้าเหมือนกัน แต่พอถ่ายรูปทำไมยิ้มเหมือนกัน เพราะอยู่ด้วยกันมานานมาก ๆ ก็จะเกิดการเลียนแบบโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
ฝึกสุนัข
เจ้าของน้องหมาที่นำน้องหมาเข้าไปเลี้ยงภายในคอนโดต้องมีความรับผิดชอบต่อ สังคม ไม่สร้างภาระ หรือความเดือนร้อนให้แก่คนอื่นๆ ภายในคอนโด หากน้องหมาอึ หรือฉี่ บริเวณนอกห้อง หรือที่สาธารณะต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย ... คงไม่มีใครชอบถ้าเดินๆ อยู่แล้วมีอึน้องหมาติดรองเท้า = ="
สายจูงคล้องใจ
เพื่อความปลอดภัย และป้องกันปัญหาน้องหมากัดกัน การมีสายจูงไว้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้เราสามารถควบคุมน้องหมาให้อยู่ข้างกาย ปลอดภัยทั้งน้องหมาของเขาและของเราเลยค่ะ
สุขภาพแข็งแรงคือสิ่งสำคัญ
พื้นที่ในคอนโดอาจไม่กว้างพอที่น้องหมาจะวิ่งเล่นได้ เพื่อนๆ จึงต้องหมั่นพาน้องหมาออกไปวิ่งเล่น ออกกำลังกาย ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อมข้างนอกบ้าง นั่นก็เพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งยังทำให้น้องหมาไม่เครียดด้วยนะคะ
หมั่นตรวจสุขภาพ พื้นฐานที่ต้องทำ ...
คงไม่มีใครอยากให้น้องหมาแสนรักต้องจากไป การหมั่นพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรักสุนัขไม่ควรละเลยค่ะ
เมื่อเรามีโอกาสนำน้องหมาเข้าไป เลี้ยงในคอนโดแล้ว เราก็อย่าลืมรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างภาระ หรือความเดือนร้อนให้แก่คนอื่นๆ ด้วยนะคะ และเพื่อนๆ ก็ต้องรัก และดูแลใส่ใจน้องหมามากๆ ... เพราะว่าเค้าจะอยู่เป็นเพื่อนเราไปอีกนานค่ะ นอกจากนี้เพื่อนๆ ควรสอบถามกฏระเบียบของคอนโด รวมถึงอพาร์ทเม้นท์ และหอพักแต่ละแห่งด้วยนะคะ ว่าที่ไหนอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นำสัตว์เข้าไปเลี้ยง ศึกษาและทำอย่างถูกต้องจะดีที่สุดและไม่เกิดปัญหาภายหลังนะคะ^^"
ที่มา
http://www.dogilike.com/content/tip/1819/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94.php
ทำอย่างไรให้รักไม่เป็นของตาย
ใครที่มีปัญหาเรื่องคู่ของคุณ ลองทำตามนี้ค่ะ
1. หัดไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หลายคนพอมีคู่รักแล้วมักจะตัดขาดกับเพื่อนฝูงราวกับชีวิตนี้ไม่ต้องมีใครแล้วก็ได้ เพื่อนชวนไปเที่ยว ช้อปปิ้ง ดูหนังก็เบี้ยวเพื่ออยู่ร่ำไประวังเถอะสุดท้ายจะไม่เหลือใครถ้ามัวแต่คอยเกาะแฟนแจขนาดนี้การมีเพื่อนทำให้ชีวิตคุณสดใสไม่หยุดนิ่งกับที่ ยิ่งไปไหนกับเพื่อนๆ โดยไม่มีแฟนก็ยิ่งเป็นการบริหารเสน่ห์ให้ตัวคุณได้มากโขและจะทำให้เขากังวลถึงคุณมากขึ้นอีกด้วย ดีมั้ยล่ะ!
2. คุยกับหนุ่มคนอื่นบ้าง ทีเขายังมีเพื่อนผู้หญิงได้เลย จะมัวไปคอยตามหึงตามหวงเขากับเพื่อนสาวทำไมกัน คุณเองก็มีเพื่อนต่างเพศได้เหมือนกันนะ ลองเปิดใจมีเพื่อนผู้ชายไว้บ้างก็ได้ แค่อย่าคิดอะไรเกินเลยเท่านั้นละ (อย่าลืมว่าเราแค่กำลังทำให้ตัวเองไม่เป็นของตาย) ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่ทำงานด้วยกัน หรือเพื่อนผู้ชายที่ไปเปรี้ยวกันได้เป็นกลุ่มๆ ก็ทำให้เขาร้อนๆ หนาวๆ ได้ตลอดเวลาจนต้องโทรหาคุณตลอดแล้วล่ะ
3. ชมผู้ชายคนอื่นอย่างออกหน้า ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นดารา เป็นนักการเมือง เป็นผู้ชายเก่งๆ หรือเพื่อนของคุณ คุณก็สามารถเอ่ยคำชมถึงคนเหล่านั้นให้คู่ของคุณฟังได้ (เช่น หนุ่มๆ ใน HAIRWORLD เล่มนี้) ไม่ใช่เอะอะก็ชมแต่เขาคนเดียวจนตัวลอย และยังเป็นเคล็ดลับทางอ้อมให้เขารีบพัฒนาตัวเอง ลุกขึ้นมาแต่งตัวดีๆ และทำสิ่งดีๆ ให้กับคุณอีกด้วย แต่ข้อห้ามก็คือชมคนอื่นได้แต่อย่าได้เอาเขาไปเปรียบเทียบด้วยล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องกันพอดี
4. เป็นสาว Shopaholic ดูซะบ้าง ผู้หญิงบางคนไม่ชอบแต่งตัวเพราะคิดว่าไม่ต้องการใครอีกแล้ว ไม่ก็โดนแฟนเบรกเวลาจะซื้อเสื้อสวยๆ สักตัว จากสาวงามระดับดาวมหาลัยเลยกลายเป็นป้าไปในบัดดล เวลาไปเที่ยวกับเขาก็แต่งตัวเรียบๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อยากบอกว่า “อย่ายอมเด็ดขาด” ไม่มีเหตุผลไหนดีพอที่จะทำให้ผู้หญิงเลิกแต่งตัวสวย ไม่ว่าคุณจะมีลูกแล้วหรือย่างเข้าวัย 40 แล้วก็ตาม ขยันแต่งตัวให้ได้อย่างป้ามาดอนน่าหรือเคมี่มัวร์ดูบ้าง ออกไปช้อปปิ้งกับเพื่อนฝูงหรือไปคนเดียวก็ได้ (ไม่ต้องให้เขามาขัด) พอคุณสวยแล้วก็จะมีหนุ่มๆ มามองเยอะแยะ เขาก็ยิ่งจะหวง (ก้าง) มากขึ้นเท่านั้น รับรองว่าจะต้องกังวลสายตาคนอื่นจนไม่มีกะจิตกะใจมองสาวคนใดอีกต่อไปแล้ว
5. รักษาหุ่นให้เป๊ะตลอด ผู้หญิงเรานี่ก็แปลก เวลาเห็นแฟนหนุ่มมองสาวคนอื่นๆ เป็นต้องลมออกหูไปเสียทุกครั้ง แต่ไม่เคยดูตัวเองในกระจกเลยว่าทำไมเขาถึงชอบชายตาหาสาวสวยอยู่เรื่อย หันมาดูแลตัวเองให้สวยเช้งตลอดเวลาดีกว่า ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร รักษารูปร่างให้ดูดีเหมือนตอนแรกๆ ที่คุณเจอกัน ไม่ใช่เห็นว่าตัวเองมีแฟนแล้วก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว อย่าเชื่อผู้ชายที่บอกว่าคุณไม่อ้วน คุณต่างหากที่ต้องตัดสินตัวเอง ยังไงเสียแล้วคนหุ่นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่หลงไม่รักให้มันรู้ไป!
6. แกล้งทำตัวห่างเหิน ปล่อยให้เขาคิดถึงคุณจนเกิดอาการจิตหลอนด้วยการปฏิเสธที่จะเจอกันทุกวันเหมือนแต่ก่อน จากนั้นคุณก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ตะลุยราตรีหรือจะไปเสริมสวย เข้าสปาให้สบายจิตก็ย่อมได้ นี่ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เขาโหยหาคุณจนแทบคลั่งได้เหมือนกัน
7. ใช้ Internet ให้เป็นประโยชน์ เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการบริหารเสน่ห์ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Myspace, Facebook หรือ Hi5 โพสต์รูปสวยๆ แบบไม่ต้องมีแฟนประกบข้างเยอะๆ เข้าไว้ เวลามีหนุ่มๆ เข้ามาคุยก็ตอบไปแบบพอหอมปากหอมคอ ถ้าให้เด็ดต้องหาเพื่อนเป็นหนุ่มน่ารักๆ ไว้คอยคุยแก้เหงากุ๊กกิ๊กให้ฉ่ำหัวใจ ถ้าแฟนหนุ่มเขาจะทำบ้างก็ปล่อยเขาไปถือว่าแฟร์กันทั้งสองฝ่าย ผู้ชายถ้ายิ่งไม่หวงเขาจะยิ่งหลงเราเหมือนอยากจะเอาชนะ ของอย่างงี้อย่าไปยอมง่ายๆ ก็เราเป็นสาวฮอตอยู่แล้วนี่นา
8. โทรหาเขาน้อยๆ หน่อยนะ เลิกโทรศัพท์หาเขาทุกชั่วโมงได้แล้ว มันน่าเบื่อจะตายที่ต้องฟังเสียงคุณทั้งวัน โทรไปแค่พักกลางวันกับหลังเลิกงานก็น่าจะพอเพียง (แถมก่อนนอนให้อีกหน่อยก็ได้นะ) แต่ถ้าจะให้ดีคุณลองไม่ต้องโทรเลย ปล่อยให้เขาโทรมาหาคุณเองจะดีที่สุด แล้วถ้าเขาโทรมาก็ไม่ต้องรีบรับ ปล่อยให้ดังนานๆ หรือหลุดไปบ้างก็ได้ จากนั้นก็ค่อยโทรกลับไปทำอย่างนี้หลายๆ วันเข้า รับรองว่าเขาจะต้องคลั่งโทรหาคุณทั้งวันอย่างแน่นอน
บางทีถ้าเราทำแล้ว ไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาเลย ลองพิจารณาใหม่นะคะ ว่าเค้ารักเราจริงๆหรือเปล่า
ผัก
ผักเป็นอาหารมากคุณค่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนานาชนิด ช่วยปกป้องเราจากโรคร้ายต่างๆ ผักที่เรากินทุกวันนี้แบ่งได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ตามเม็ดสี ซึ่งให้คุณประโยชน์แตกต่างกันไป เราควรจึงกินผักให้ได้หลากหลายสีในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารเต็มที่
ผักสีแดง เช่น พริกแดง มะเขือเทศ เกิดจากเม็ดสีในกลุ่ม ไลโคฟีน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างการ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง
ผักสีส้ม สีเหลือง มาจากเม็ดสีกลุ่ม แคโรทีนอยด์ วิตามินเอ วิตามินซี ช่วยบำรุงสายตาทำให้มองเห็นได้มีในตอนกลางคืน ป้องกันโรคต้อกระจก บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ผักสีส้มและสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท
ผักสีเขียว เช่น ผักใบเขียวต่างๆ มาจากกลุ่มเม็ดสีที่ชื่อว่า คลอโรฟิลล์ และสารประเภทอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็มเอไม่ให้ถูกทำลายจนกลายเป็นเนื้อร้าย รักษาหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกายและช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อ ผลเสียต่อสุขภาพบำรุงสมองและความจำ และบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ
ผักสีขาว สีน้ำตาลอ่อน มาจากเม็ดสีกลุ่ม แอนโทแซนทิน ผักในกลุ่มนี้เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ เห็น เซเลอรี มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ต่อต้านการเกิดเนื้องอก ป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ ต้านการติดเชื้อ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเสริมภูมิคุ้มกัน
ที่มา
http://www.samngam.ac.th/index.php/2011-06-06-07-07-42/2011-06-07-12-53-21/2011-06-08-08-22-36
>>> 13 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้องแมวเหมียว <<<
1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก
สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง
2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย
ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่
3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์
เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง
4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้
แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน
5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?
จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ
เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง
7. ช็อกโกแลต ของอันตรายสำหรับแมว
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินช็อกโกแลต ก็ขอให้เก็บช็อกโกแลตไว้ให้พ้นสายตาหรือจมูกของเจ้าเหมียวให้ดี เพราะช็อกโกแลตที่แสนอร่อยของเรานั้น กลับเป็นอันตรายต่อแมว เพราะเมื่อแมวกินช็อกโกแลตจะทำให้มันป่วยหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
8. แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว
ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง
9. แมวไม่ชอบสบตาใคร
พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ
10. จังหวะการเต้นของหัวใจน้องเหมียว
โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของแมวจะอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตของมันด้วย ซึ่งยิ่งมันมีอายุน้อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจมันก็จะเร็วกว่าแมวที่มีอายุมากแล้ว
11. แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!
บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ
12. เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน
คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ
13. แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?
ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง
ที่มา
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2411061
1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก
สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง
2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย
ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่
3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์
เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง
4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้
แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน
5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?
จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ
เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง
7. ช็อกโกแลต ของอันตรายสำหรับแมว
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินช็อกโกแลต ก็ขอให้เก็บช็อกโกแลตไว้ให้พ้นสายตาหรือจมูกของเจ้าเหมียวให้ดี เพราะช็อกโกแลตที่แสนอร่อยของเรานั้น กลับเป็นอันตรายต่อแมว เพราะเมื่อแมวกินช็อกโกแลตจะทำให้มันป่วยหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
8. แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว
ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง
9. แมวไม่ชอบสบตาใคร
พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ
10. จังหวะการเต้นของหัวใจน้องเหมียว
โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของแมวจะอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตของมันด้วย ซึ่งยิ่งมันมีอายุน้อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจมันก็จะเร็วกว่าแมวที่มีอายุมากแล้ว
11. แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!
บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ
12. เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน
คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ
13. แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?
ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง
ที่มา
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2411061
5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่
5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ไก่ที่เรากินทุกวันนี้เป็นไข่ที่ไม่ผ่านกระบวนการปฏิสนธิ คือไม่มีการผสมกันระหว่างเชื้อของตัวผู้และไข่ของตัวเมีย แต่ในระบบสืบพันธุ์ของไก่ตัวเมียจะมีรังไข่และท่อรังไข่ รังไข่นี้มีหน้าที่ผลิตไข่ ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ หากจะกินไข่ลวก ควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่าง ๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
- ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยน
- ไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิว
- เปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต
ดูเหมือนเกือบทุกคนรู้วิธีจูบ แต่อาจไม่รู้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่น่าสนใจของการจุมพิต ยกตัวอย่างเช่นการจูบดีต่อเราหรือไม่? ควรจูบลาภรรยาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า? คนญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศจูบกันแบบไหน? จูบทำให้ผอมลงได้จริงหรือ?
ต่อนี้ไปคือ ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต
1 การจูบทำให้กล้ามเนื้อ 29 ส่วนบนใบหน้ามีการเคลื่อนไหว หมายความว่าการจูบเป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันความเหี่ยวย่น
2 ในน้ำลายที่คู่รักแลกเปลี่ยนกันระหว่างการจูบประกอบด้วยสารต่างๆ มากมาย อาทิ ไขมัน เกลือแร่ โปรตีน จากการศึกษาล่าสุดพบว่า การแลกเปลี่ยนสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้มาจัดการกับเชื้อโรคชนิดต่างๆ ที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย
3 คน 66% หลับตาขณะจุมพิต ที่เหลือลืมตาชื่นชมอารมณ์บนใบหน้าของคนที่ประกบปากกันอยู่
4 จากสถิติของสหรัฐฯ ผู้หญิงอเมริกันเคยจูบผู้ชาย 80 คนโดยเฉลี่ยก่อนแต่งงาน
5 การจูบแบบเร่าร้อนแต่รวดเร็วเผาผลาญไขมันเพียง 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าจูบแบบเฟรนช์คิส ไขมันจะถูกเผาผลาญมากกว่า 5 แคลอรี่
6 ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ามากกว่านิ้วถึง 200 เท่า
7 เชื่อกันว่า ผู้ชายที่จูบภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน มีชีวิตคู่ยืนยาวกว่าผู้ชายที่ออกจากบ้านโดยไม่ร่ำลาภรรยาถึง 5 ปี และผู้ชายกลุ่มหลังมีแนวโน้มสูงที่จะประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
8 การจุมพิตอย่างดื่มด่ำแค่ 90 วินาที ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรง ระดับฮอร์โมนในเลือดสูบฉีด ส่งผลให้อายุสั้นลง 1 นาที
9 คนฝรั่งเศสเรียก ‘เฟรนช์คิสส์’ ว่า ‘จุดนัดพบของวิญญาณ’ เฟรนช์คิสส์คือการจูบที่ใช้ทั้งริมฝีปากและลิ้น นอกจากนั้น นักรักแดนน้ำหอมยังคิดค้นวิธีจูบอีกแบบที่ใช้ลิ้นเพียงอย่างเดียว
10 ชาวเอสกิโมไม่ได้แค่เอาจมูกถูกันเพื่อแสดงความรักใคร่เท่านั้น แต่ขณะที่เอาจมูกเข้าไปชนกับฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากของชาวเอสกิโมจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึกและปล่อยลมหายใจออกมาขณะเม้มริมฝีปากลง หลังจากสูดกลิ่นของกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จึงผลัดกันหอมแก้มโดยฝังจมูกไว้ที่แก้มฝ่ายตรงข้ามราวหนึ่งนาที
11 การจุมพิตในที่สาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเกาหลี การจูบแบบดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัยยังดูเหมือนเป็นการตำหนิพฤติกรรมผิดศีลธรรมของคนตะวันตกกลายๆ กล่าวคือ คู่รักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ก่อนค้อมศรีษะเข้าหากันและประทับริมฝีปากอยู่แค่เสี้ยววินาที
12 ระหว่างการจูบ ร่างกายจะผลิตสารที่มีฤทธิ์ในการเสพติดมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่า คู่รักจึงรู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
13 การจูบช่วยให้ผู้หญิงผ่อนคลายและสลายความเครียด
14 โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลา 20,160 นาที (2 สัปดาห์) ตลอดชีวิตในการจูบ
15 จูบ 1 นาที ปลดปล่อยไขมันจากร่างกาย 26 แคลอรี่
16 เกือบทุกคนบนโลกสัมผัสประสบการณ์ ‘จูบแรก’ ก่อนอายุ 14 ปี
ที่มา
ดูเหมือนเกือบทุกคนรู้วิธีจูบ แต่อาจไม่รู้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่น่าสนใจของการจุมพิต ยกตัวอย่างเช่นการจูบดีต่อเราหรือไม่? ควรจูบลาภรรยาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า? คนญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศจูบกันแบบไหน? จูบทำให้ผอมลงได้จริงหรือ?
ต่อนี้ไปคือ ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต
1 การจูบทำให้กล้ามเนื้อ 29 ส่วนบนใบหน้ามีการเคลื่อนไหว หมายความว่าการจูบเป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันความเหี่ยวย่น
2 ในน้ำลายที่คู่รักแลกเปลี่ยนกันระหว่างการจูบประกอบด้วยสารต่างๆ มากมาย อาทิ ไขมัน เกลือแร่ โปรตีน จากการศึกษาล่าสุดพบว่า การแลกเปลี่ยนสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้มาจัดการกับเชื้อโรคชนิดต่างๆ ที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย
3 คน 66% หลับตาขณะจุมพิต ที่เหลือลืมตาชื่นชมอารมณ์บนใบหน้าของคนที่ประกบปากกันอยู่
4 จากสถิติของสหรัฐฯ ผู้หญิงอเมริกันเคยจูบผู้ชาย 80 คนโดยเฉลี่ยก่อนแต่งงาน
5 การจูบแบบเร่าร้อนแต่รวดเร็วเผาผลาญไขมันเพียง 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าจูบแบบเฟรนช์คิส ไขมันจะถูกเผาผลาญมากกว่า 5 แคลอรี่
6 ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ามากกว่านิ้วถึง 200 เท่า
7 เชื่อกันว่า ผู้ชายที่จูบภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน มีชีวิตคู่ยืนยาวกว่าผู้ชายที่ออกจากบ้านโดยไม่ร่ำลาภรรยาถึง 5 ปี และผู้ชายกลุ่มหลังมีแนวโน้มสูงที่จะประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
8 การจุมพิตอย่างดื่มด่ำแค่ 90 วินาที ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรง ระดับฮอร์โมนในเลือดสูบฉีด ส่งผลให้อายุสั้นลง 1 นาที
9 คนฝรั่งเศสเรียก ‘เฟรนช์คิสส์’ ว่า ‘จุดนัดพบของวิญญาณ’ เฟรนช์คิสส์คือการจูบที่ใช้ทั้งริมฝีปากและลิ้น นอกจากนั้น นักรักแดนน้ำหอมยังคิดค้นวิธีจูบอีกแบบที่ใช้ลิ้นเพียงอย่างเดียว
10 ชาวเอสกิโมไม่ได้แค่เอาจมูกถูกันเพื่อแสดงความรักใคร่เท่านั้น แต่ขณะที่เอาจมูกเข้าไปชนกับฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากของชาวเอสกิโมจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึกและปล่อยลมหายใจออกมาขณะเม้มริมฝีปากลง หลังจากสูดกลิ่นของกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จึงผลัดกันหอมแก้มโดยฝังจมูกไว้ที่แก้มฝ่ายตรงข้ามราวหนึ่งนาที
11 การจุมพิตในที่สาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเกาหลี การจูบแบบดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัยยังดูเหมือนเป็นการตำหนิพฤติกรรมผิดศีลธรรมของคนตะวันตกกลายๆ กล่าวคือ คู่รักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ก่อนค้อมศรีษะเข้าหากันและประทับริมฝีปากอยู่แค่เสี้ยววินาที
12 ระหว่างการจูบ ร่างกายจะผลิตสารที่มีฤทธิ์ในการเสพติดมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่า คู่รักจึงรู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
13 การจูบช่วยให้ผู้หญิงผ่อนคลายและสลายความเครียด
14 โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลา 20,160 นาที (2 สัปดาห์) ตลอดชีวิตในการจูบ
15 จูบ 1 นาที ปลดปล่อยไขมันจากร่างกาย 26 แคลอรี่
16 เกือบทุกคนบนโลกสัมผัสประสบการณ์ ‘จูบแรก’ ก่อนอายุ 14 ปี
ที่มา
ดูเหมือนเกือบทุกคนรู้วิธีจูบ แต่อาจไม่รู้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่น่าสนใจของการจุมพิต ยกตัวอย่างเช่นการจูบดีต่อเราหรือไม่? ควรจูบลาภรรยาก่อนออกจากบ้านหรือเปล่า? คนญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศจูบกันแบบไหน? จูบทำให้ผอมลงได้จริงหรือ?
ต่อนี้ไปคือ ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการจุมพิต
1 การจูบทำให้กล้ามเนื้อ 29 ส่วนบนใบหน้ามีการเคลื่อนไหว หมายความว่าการจูบเป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันความเหี่ยวย่น
2 ในน้ำลายที่คู่รักแลกเปลี่ยนกันระหว่างการจูบประกอบด้วยสารต่างๆ มากมาย อาทิ ไขมัน เกลือแร่ โปรตีน จากการศึกษาล่าสุดพบว่า การแลกเปลี่ยนสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้มาจัดการกับเชื้อโรคชนิดต่างๆ ที่บุกรุกเข้าสู่ร่างกาย
3 คน 66% หลับตาขณะจุมพิต ที่เหลือลืมตาชื่นชมอารมณ์บนใบหน้าของคนที่ประกบปากกันอยู่
4 จากสถิติของสหรัฐฯ ผู้หญิงอเมริกันเคยจูบผู้ชาย 80 คนโดยเฉลี่ยก่อนแต่งงาน
5 การจูบแบบเร่าร้อนแต่รวดเร็วเผาผลาญไขมันเพียง 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าจูบแบบเฟรนช์คิส ไขมันจะถูกเผาผลาญมากกว่า 5 แคลอรี่
6 ริมฝีปากมีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ามากกว่านิ้วถึง 200 เท่า
7 เชื่อกันว่า ผู้ชายที่จูบภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน มีชีวิตคู่ยืนยาวกว่าผู้ชายที่ออกจากบ้านโดยไม่ร่ำลาภรรยาถึง 5 ปี และผู้ชายกลุ่มหลังมีแนวโน้มสูงที่จะประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
8 การจุมพิตอย่างดื่มด่ำแค่ 90 วินาที ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรง ระดับฮอร์โมนในเลือดสูบฉีด ส่งผลให้อายุสั้นลง 1 นาที
9 คนฝรั่งเศสเรียก ‘เฟรนช์คิสส์’ ว่า ‘จุดนัดพบของวิญญาณ’ เฟรนช์คิสส์คือการจูบที่ใช้ทั้งริมฝีปากและลิ้น นอกจากนั้น นักรักแดนน้ำหอมยังคิดค้นวิธีจูบอีกแบบที่ใช้ลิ้นเพียงอย่างเดียว
10 ชาวเอสกิโมไม่ได้แค่เอาจมูกถูกันเพื่อแสดงความรักใคร่เท่านั้น แต่ขณะที่เอาจมูกเข้าไปชนกับฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากของชาวเอสกิโมจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึกและปล่อยลมหายใจออกมาขณะเม้มริมฝีปากลง หลังจากสูดกลิ่นของกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จึงผลัดกันหอมแก้มโดยฝังจมูกไว้ที่แก้มฝ่ายตรงข้ามราวหนึ่งนาที
11 การจุมพิตในที่สาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ในญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และเกาหลี การจูบแบบดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัยยังดูเหมือนเป็นการตำหนิพฤติกรรมผิดศีลธรรมของคนตะวันตกกลายๆ กล่าวคือ คู่รักจะรักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ก่อนค้อมศรีษะเข้าหากันและประทับริมฝีปากอยู่แค่เสี้ยววินาที
12 ระหว่างการจูบ ร่างกายจะผลิตสารที่มีฤทธิ์ในการเสพติดมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่า คู่รักจึงรู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
13 การจูบช่วยให้ผู้หญิงผ่อนคลายและสลายความเครียด
14 โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลา 20,160 นาที (2 สัปดาห์) ตลอดชีวิตในการจูบ
15 จูบ 1 นาที ปลดปล่อยไขมันจากร่างกาย 26 แคลอรี่
16 เกือบทุกคนบนโลกสัมผัสประสบการณ์ ‘จูบแรก’ ก่อนอายุ 14 ปี
ที่มา
http://blog.eduzones.com/wananthicha/10558
การกอด
พลังของการกอด
การกอดทำให้เกิดหลายสิ่ง หลายอย่างที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อน
ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ
คลายความรู้สึกหายเหงา
เอาชนะความกลัวได้
เป็นประตูเปิดไปสู่ความรู้สึกอื่นๆ เข้าถึงความรู้สึกอื่นๆ
สร้างความภาคภูมิใจ
เป็นการช่วยคนที่ไม่มีใครสนใจ
ช่วยชลอความแก่
ช่วยลดน้ำหนักได้ ความอยากอาหารจะลดลง เนื่องจากได้รับการเติมเต็มในเรื่องความเอาใจใส่
สิ่งดีอื่นๆจากการกอด
ลดความตึงเครียด ต่อสู้อาการนอนไม่หลับ
ทำให้กล้ามเนื้อแขน ขา ไหล่ได้ทำงาน
ช่วยยืดกล้ามเนื้อสำหรับคนที่เตี้ยให้สูงขึ้น เมื่อไปกอดคนที่สูงกว่า
ช่วยทำให้คนสูงเตี้ยลง เมื่อไปกอดกับคนที่สูงน้อยกว่า
เป็นทางเลือกในการให้คำมั่นสัญญา ความผูกพัน
ช่วยในเรื่องภาวะสุขภาพ
ทำให้เกิดความคุ้นเคย สนิทสนมกันมากขึ้น
ผลกำไรจากการกอด
สะท้อนให้เห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี บรรยากาศที่ดี
เป็นการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดพลังงาน รักษาความอบอุ่นในการสัมผัส
สามารถทำได้ทุกที่ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ สามารถกระทำได้ตั้งแต่บันไดบ้านจนถึงที่ประชุมบริหาร
ทำให้วันที่มีความสุข ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ส่งผ่านความรู้สึกที่เป็นเจ้าของ
เติมเต็มช่องว่างให้กับชีวิต
ความคงอยู่ของความรู้สึก แม้ว่าจะเลิกกอดแล้ว
วิธีการกอด
Dr. Sidney Simon อธิบายวิธีการกอด ดังนี้
คน 2 คนอยู่ด้วยกัน มองหน้าซึ่งกันและกัน
ไม่มีท่าทางที่ปฏิเสธการกอด
ในการกอดแต่ละครั้งให้แสดงอย่างเต็มที่ถึงบุคลิกและสิ่งที่คุณต้องการมอบให้
กอดโดยถ่ายทอดความรู้สึกที่สมบูรณ์และปราศจากความกลัว เป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องใช้คำพูดให้ยุ่งยาก
ที่มา
http://share.psu.ac.th/blog/sk001/20629
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คิดไม่ถึง
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คิดไม่ถึง
การดื่มน้ำเ มื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน ) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี
มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ ได้ผล 100% ( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา ) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรค ไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรค ภายในสตรีมะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก
วิธีการปฏิบัติ
1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไรจนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วยหรือคนชราที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆดื่มค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้ว ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ
จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้
1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3158.0
การดื่มน้ำเ มื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน ) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี
มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ ได้ผล 100% ( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา ) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรค ไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรค ภายในสตรีมะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก
วิธีการปฏิบัติ
1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไรจนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วยหรือคนชราที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆดื่มค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้ว ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ
จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้
1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3158.0
5 อาหารอันตราย ที่ส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณ
5 อาหารอันตราย ที่ส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณ
1.ผัก-ผลไม้ชนิดที่ไม่ใช่ "ปลอดสารพิษ"
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ในแต่ละวันนั้นคุณได้บริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีเข้าไปสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นผู้บริโภคยุคใหม่ควรทำความเข้าใจว่า ผัก-ผลไม้เหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารเร่งฮอร์โมน ที่จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตก่อนวัยอันควร และขณะเดียวกันเมื่อคุณรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไป หาได้มีคุณค่าหรือโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ แต่มันจะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเสียหาย หรือไม่สามารถดักจับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารมีพิษเหล่านี้ จนส่งผลเสียต่อผิวสวยๆ ของคุณได้
2.เนื้อสัตว์และนมที่ปนเปื้อนสารเร่งเจริญการเติบโต
ไก่หรือสัตว์ปีกที่เลี้ยงในฟาร์มจะถูกป้อนด้วยน้ำผสมสารสเตียรอยต์ และฉีดสารเร่งการเจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับวัวและสัตว์ที่ใช้บริโภคชนิดอื่นๆ ดังนั้นเมื่อเราบริโภคเนื้อสัตว์หรือนมวัวที่ได้รับสารเคมีเหล่านี้เข้าไป ก็จะทำให้ผิวของเรารับสารเคมีเหล่านี้เข้าไป โดยไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ ซึ่งหากรับเข้าไปในปริมาณที่มาก จะสะสมและตกค้างในร่างกาย จนทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น มะเร็งผิวหนัง ฯลฯ
3.อาหารทอด
รู้ไว้เลยว่าอาหารทอดทุกชนิด เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ เมื่อคุณปรุงอาหารที่ต้องใส่น้ำมัน มันจะทำให้เกิดเป็นไขมันออกซิไดซ์ หรืออนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีกับร่างกายของเรา เพราะเมื่ออนุมูลอิสระไปรวมตัวกับไขมันในร่างกายชนิดที่ไม่ดี จะทำให้เกิดเป็นสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย ไม่ว่าจะความเสื่อมของผิวพรรณ หรือเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ฉะนั้นหากสาวคนไหนที่อยากมีสุขภาพที่ดีปราศจากโรคอ้วน และมีผิวพรรณที่สดใสเปล่งปลั่ง แนะนำให้หลีกเลี่ยงบริโภคอาหารทอด แต่หันไปรับประทานอาหารต้มหรือนึ่งแทนจะดีกว่า
4.น้ำตาลเทียมและสีผสมอาหาร ตัวการก่อให้เกิดภูมิแพ้และผื่นคัน
น้ำตาลเทียมและสีผสมอาหารถือเป็นเครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารดูน่ารับประทาน และมีรสชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรหลีกเหลี่ยงการบริโภคสารปรุงรสเหล่านี้ เพราะมันจะทำให้ผิวหนังของคุณเกิดอาการระคายเคือง โดยไปทำปฏิกิริยากับสารฮีสตามีน หรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการคัน ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง
5.น้ำตาล
สำหรับคนรักสุขภาพแนะนำว่า ไม่ควรที่จะบริโภคน้ำตาลมากจนเกินไป เพราะน้ำตาลไปทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง หรือไปรบกวนการทำงานของระบบฮอร์โมนในร่างกายจนเกิดเป็นสิว หรือเม็ดผื่นแดงที่ไม่พึงประสงค์ของหนุ่ม-สาวหลายคน ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะรักษารูปร่างให้ดูดี และมีผิวหน้าที่งดงามตลอดไป ต้องรู้จักเลือกบริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เพราะทุกอย่างที่คุณรับประทานเข้าไป ล้วนแล้วแต่ส่งผลทั้งต่อร่างกายและผิวพรรณของคุณได้....
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3180.0
1.ผัก-ผลไม้ชนิดที่ไม่ใช่ "ปลอดสารพิษ"
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ในแต่ละวันนั้นคุณได้บริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีเข้าไปสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นผู้บริโภคยุคใหม่ควรทำความเข้าใจว่า ผัก-ผลไม้เหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารเร่งฮอร์โมน ที่จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตก่อนวัยอันควร และขณะเดียวกันเมื่อคุณรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไป หาได้มีคุณค่าหรือโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ แต่มันจะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเสียหาย หรือไม่สามารถดักจับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารมีพิษเหล่านี้ จนส่งผลเสียต่อผิวสวยๆ ของคุณได้
2.เนื้อสัตว์และนมที่ปนเปื้อนสารเร่งเจริญการเติบโต
ไก่หรือสัตว์ปีกที่เลี้ยงในฟาร์มจะถูกป้อนด้วยน้ำผสมสารสเตียรอยต์ และฉีดสารเร่งการเจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับวัวและสัตว์ที่ใช้บริโภคชนิดอื่นๆ ดังนั้นเมื่อเราบริโภคเนื้อสัตว์หรือนมวัวที่ได้รับสารเคมีเหล่านี้เข้าไป ก็จะทำให้ผิวของเรารับสารเคมีเหล่านี้เข้าไป โดยไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ ซึ่งหากรับเข้าไปในปริมาณที่มาก จะสะสมและตกค้างในร่างกาย จนทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น มะเร็งผิวหนัง ฯลฯ
3.อาหารทอด
รู้ไว้เลยว่าอาหารทอดทุกชนิด เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ เมื่อคุณปรุงอาหารที่ต้องใส่น้ำมัน มันจะทำให้เกิดเป็นไขมันออกซิไดซ์ หรืออนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีกับร่างกายของเรา เพราะเมื่ออนุมูลอิสระไปรวมตัวกับไขมันในร่างกายชนิดที่ไม่ดี จะทำให้เกิดเป็นสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย ไม่ว่าจะความเสื่อมของผิวพรรณ หรือเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ฉะนั้นหากสาวคนไหนที่อยากมีสุขภาพที่ดีปราศจากโรคอ้วน และมีผิวพรรณที่สดใสเปล่งปลั่ง แนะนำให้หลีกเลี่ยงบริโภคอาหารทอด แต่หันไปรับประทานอาหารต้มหรือนึ่งแทนจะดีกว่า
4.น้ำตาลเทียมและสีผสมอาหาร ตัวการก่อให้เกิดภูมิแพ้และผื่นคัน
น้ำตาลเทียมและสีผสมอาหารถือเป็นเครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารดูน่ารับประทาน และมีรสชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรหลีกเหลี่ยงการบริโภคสารปรุงรสเหล่านี้ เพราะมันจะทำให้ผิวหนังของคุณเกิดอาการระคายเคือง โดยไปทำปฏิกิริยากับสารฮีสตามีน หรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการคัน ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง
5.น้ำตาล
สำหรับคนรักสุขภาพแนะนำว่า ไม่ควรที่จะบริโภคน้ำตาลมากจนเกินไป เพราะน้ำตาลไปทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง หรือไปรบกวนการทำงานของระบบฮอร์โมนในร่างกายจนเกิดเป็นสิว หรือเม็ดผื่นแดงที่ไม่พึงประสงค์ของหนุ่ม-สาวหลายคน ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะรักษารูปร่างให้ดูดี และมีผิวหน้าที่งดงามตลอดไป ต้องรู้จักเลือกบริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เพราะทุกอย่างที่คุณรับประทานเข้าไป ล้วนแล้วแต่ส่งผลทั้งต่อร่างกายและผิวพรรณของคุณได้....
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3180.0
การออกกำลังกายเพื่อกระดูกที่แข็งแรง
การออกกำลังกายเพื่อกระดูกที่แข็งแรง
การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ พร้อมด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพกระดูกที่ดี
• ออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก - เช่นเดินไกล เป็นการป้องกันการเกิดโรคกระดูก เพราะจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ก็จะช่วยพยุงกระดูกให้มั่นคงแข็งแรง และช่วยให้การสูญเสียแคลเซียมของกระดูกช้าลงด้วย
• ออกำลังกระดูกปลายเท้า - บริหารโดยการนั่งห้อยขา กระดกปลายเท้าขึ้นลง จากนั้นถีบปลายเท้าลงแต่กระดกเฉพาะนิ้วเท้าขึ้น และพยายามใช้นิ้วเท้าจับวัตถุกลมๆ หรือผ้าเข้ามารวมกัน แล้วคลี่ออก
• ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว - ช่วยถนอมเข่าและสร้างความแข็งแรงของกระดูก ควรเดินเร็ว 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 15-20 นาทีต่อวัน แต่จะให้ดีควรเดินเร็ว 2 วันแล้วพัก 1 วัน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พัก
• ออกกำลังกายใต้น้ำ - การออกกำลังกายในน้ำสามารถทำได้หลายท่าทาง อาทิ วิ่ง ยกขา กระโดด ฉีกขาท่ากบ แตะขา ฯลฯ ควรทำครั้งละ 15-45 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่อย่าลืมว่าก่อนลงน้ำ ควรวอร์มร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อก่อน
• ยกน้ำหนัก - ช่วยเพิ่มมวลกระดูกและความแข็งแรงเฉพาะส่วน แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักแขน เพื่อให้น้ำหนักผ่านข้อมือ กระดูกสันหลัง รวมไปถึงกระดูกสะโพก
• รำมวยจีน - ลดการสูญเสียของมวลกระดูก ช่วยเพิ่มการทรงตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาส่วนหน้า และช่วยลดอาการปวดเข่าในผู้ป่วยเข่าเสื่อมได้อีกด้วย
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3205.0
นอนน้อย นอนไม่หลับ เรื่องใหญ่กว่าที่คิด
นอนน้อย นอนไม่หลับ เรื่องใหญ่กว่าที่คิด
นอน ใครไม่เคยนอนเป็นไปไม่ได้ เพราะการนอนเป็นกระบวนการพักผ่อนในรูปแบบหนึ่งของร่างกาย ลองสังเกตดู หากใครได้นอนเต็มอิ่ม 8-10 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้น จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดใส มีพลังสมองและพลังกายสำหรับดำเนินชีวิตหรือทำกิจกรรมระหว่างวัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่สำหรับคนที่นอนน้อย หรือนอนไม่ค่อยหลับ จะให้ผลที่ตรงกันข้ามในทันที และที่สำคัญ หากสะสมในระยะยาว จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ จนยากที่จะแก้ไขฟื้นฟู
นอนน้อย นอนไม่หลับ เป็นปัญหาใหญ่ที่นับวันจะส่งผลต่อใครหลาย ๆ คนมากขึ้น ท่ามกลางการแข่งขัน และความกดดันสูง ย่อมส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป การทำงานที่หนักขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน นอนได้น้อย นอกจากนี้ความเครียดจากการทำงานยังส่งผลให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ หรือหลับไม่ได้ไม่เต็มที่อีกด้วย
ตามปกติ ร่างกายคนเราต้องการเวลา "นอน" ประมาณวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ถ้าไม่ได้ตามเวลานี้ ร่างกายจะตอบสนองโดยการเพิ่มเวลาในการพักผ่อนให้กับตัวเองมากขึ้น โดยจะปรากฏอยู่ในรูปแบบการงีบหลับตอนกลางวัน หรือร่างกายสั่งให้เราง่วงเร็วขึ้น เพื่อที่ร่างกายจะได้พักผ่อน และซ่อมแซมตัวเอง
แต่หากเรายังฝืน ไม่ทำตามที่ร่างกายสั่ง สภาพภายในร่างกาย ตั้งแต่เซลล์ ไปจนถึงระบบอวัยวะต่าง ๆ ไม่ได้มีโอกาสพักเพื่อซ่อมแซมตัวเอง มาดูกันว่า หากเราอดนอน จะทำให้เราต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
1.ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี โดยเฉพาะลำไส้ จะทำงานแปรปรวน เมื่อสะสมไปนาน ๆ ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบได้
2.อาการท้องผูก เนื่องจากกระเพราะอาหารและลำไส้ ต้องทำงานแทบจะตลอดเวลา เมื่อเรานอนดึก เรามักจะหาอะไรทานในตอนกลางคืน กระเพาะอาหารและลำไส้ก็จะต้องทำงาน และใช้เวลาราว ๆ 2-3 ชั่วโมง เมื่อตื่นเช้าเราก็ต้องทานอาหารอีกครั้ง กระเพาะอาหารและลำไส้ก็ต้องทำงานอีก นั่นทำให้กระเพาะและลำไส้ล้า ทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ จึงเกิดอาการท้องผูกตามมา
3.ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยปกติ ตับจะช่วยทำความสะอาดซ่อมแซม ฟื้นฟูร่างกายตอนหลับ ถ้าอดนอนมาก ๆ ตับจะไม่ทำงาน ส่งผลให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำและเกิดรอยคล้ำใต้ตา
4.ปัสสาวะบ่อย การนอนดึก จะทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้น เมื่อดื่มน้ำมาก ก็จะปัสสาวะมาก ทำให้เสียเกลือแร่โดยไม่จำเป็นตามไปด้วย
5.เกิดอาการเบลอ เนื่องจากสมองไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ความสามารถในการใช้สมองจะต่ำลง จึงเกิดอาการเบลอขึ้นในระหว่างวัน
6.เกิดสิว เกิดจากการระบายของเสียทางผิวหนังเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้สิ่งสกปรกและไขมันเกิดอุดตัน ในบางราย แค่นอนดึกเพียงคืนเดียว ก็ทำให้มีสิวขึ้นได้
7.เกิดโรคอันตรายต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไปจนถึงโรคมะเร็ง เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยเฉพาะในผู้หญิง มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูง จากการศึกษา ผู้หญิงที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง ส่งผลให้ฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งปกติจะหลั่งตอนหลับ และเป็นสารยับยั้งการก่อมะเร็งเต้านม ไม่สามารถทำงานได้ จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมมากกว่าคนอื่น
สาเหตุที่นำไปสู่การนอนไม่หลับ
เราสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ
1.ปัจจัยภายใน นั่นคือเกิดจากความผิดปกติของตัวคนนั้นเอง ซึ่งมีอยู่หลากหลายสาเหตุเช่นกัน ได้แก้
- มีอาการของโรคบางอย่าง เช่น นอนกรนเสียงดัง โรคถุงลมโป่งพอง โรคสมองเสื่อม
- เป็นอาการที่มาจากโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า
- การอดนอนจนเป็นนิสัย
- เคยนอนไม่หลับอยู่ช่วงหนึ่ง จนกังวลว่าจะนอนไม่หลับ ทำให้นอนไม่หลับขึ้นมาจริง ๆ
2.ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเครียด ความกังวล สภาพแวดล้อมการนอนไม่ดี มีเสียงดังรบกวนการนอนตลอดเวลา หรือแม้แต่การติดสารบางอย่าง เช่น ยานอนหลับ หรือสุรา ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้
นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่งประเภทของอาการนอนไม่หลับได้ 3 ประเภท คือ
1.การนอนไม่หลับแบบชั่วคราว คือ การนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ ส่วนมากแล้วมักจะเกิดมาจากความเครียด ความกังวลใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองในไม่กี่วัน
2.การนอนไม่หลับแบบระยะต่อเนื่อง คือการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ทั้งนี้อาจมีการปัญหาทางด้านสุขภาพ หรือแม้แต่เครียดมาก ๆ ต่อปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ คนที่มีอาการเหล่านี้จำเป็นต้องเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื้องรัง
3.การนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง คนกลุ่มนี้จะมีอาการนอนไม่หลับต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน นานจนอาจเป็นปี สาเหตุนั้นจะซับซ้อนมากขึ้น บางกรณีอาจมาจากความผิดปกติทางร่างกาย เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพัก ๆ ระหว่างนอน อาการปวดต่าง ๆ หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจหรือโรคปอด เป็นต้น
การรักษาอาการโรคนอนไม่หลับอย่างไรดี
เริ่มต้นด้วยการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเกิดจากโรคต่าง ๆ ก็ต้องรักษาโรคเหล่านั้นให้ดีขึ้น อาจรักษาร่วมกับการใช้ยานอนหลับในช่วงเริ่มต้น เมื่อหายดีแล้วก็สามารถหยุดได้ นอกจากนี้การจัดสุขลักษณะการนอนที่ดี ก็เป็นสิ่งจำเป็น หลายคนไปนอนในที่ ๆ ไม่คุ้นเคย ก็ทำให้นอนไม่หลับได้ หรือบางคนมีสภาพแวดล้อมในห้องนอนที่ไม่เหมาะแก่การนอน เช่น มีกลิ่นอับ หรือมีเสียงรบกวน ก็ทำให้นอนไม่หลับได้ ดังนั้นสภาพแวดล้อมสำหรับการนอนหลับจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
- จัดห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ เช่น อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีเสียงอื่นดังรบกวน หรือมีแสงไฟจ้า
- ระลึกไว้อยู่เสมอว่า ห้องนอนมีไว้สำหรับนอนหลับ และหลับนอน (กิจกรรมบนเตียงสำหรับคู่รัก) เท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ และงดทานอาหารมื้อดึก เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับได้ ถ้าจะดื่มหรือทาน ควรเป็นอาหารที่ย่อยเร็วอย่าง นมอุ่น ๆ หรือกล้วน 1 ผล ช่วยทำให้หลับได้ดีขึ้น
- การออกกำลังกายในตอนเช้าวันละ 3 - 4 วัน วันละ 20 - 30 นาที จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น และนอนหลับสบายขึ้น
- พยายามตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน รวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดต่าง ๆ ด้วย ซึ่งจะทำให้วงจรการนอนของเราไม่มีปัญหา
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด หรือดูรายการโทรทัศน์ที่เคร่งเครียดหรือสร้างความตื่นเต้นก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับได้
- ถ้ารู้สึกว่าตัวเองนอนไม่หลับ ไม่พยายามหลับ เพราะยิ่งจะทำให้ร่างกายเครียด นอนไม่หลับเข้าไปอีก ลุกขึ้นมาหาอะไรทำสบาย ๆ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เมื่อรู้สึกง่วงแล้วจึงไปนอน
- การใช้ยานอนหลับ สามารถใช้ได้กับคนที่มีอาการนอนไม่หลับแบบชั่วคราว หรือเพิ่งมีอาการไม่นาน ระยะไม่เกิน 1 เดือน จะช่วยทำให้หลับได้ดี และมีอาการดีขึ้นเร็ว แต่ไม่ควรใช้นอนต่อเนื่อง เพราะอาจทำให้ติดยา จนนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้
ลองนำไปใช้แก้ปัญหาดู น่าจะทำให้นอนหลับสบายมากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื้อรัง ควรจะเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์จะดีกว่า
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3241.0
5 วิตามินยอดฮิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี?
5 วิตามินยอดฮิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี?
วิตามินซี ในรูปแบบอาหารเสริม มีทั้งแบบเม็ดอัด แคปซูล ลูกอม ผสมน้ำหวาน-เครื่องดื่ม หรือผงละลายน้ำ รวมถึงการนำมาทำเป็น ซีรั่ม ครีม โลชั่น เพื่อเป้าหมายหลักในการบำรุงผิวให้ดูขาวใส เปร่งปรั่ง ลดความหมองคล้ำ นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถป้องกันและรักษาโรคหวัด ทั้งยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบจากการติดเชื้อและระดับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย ปัญหาการขาดวิตามินซีพบได้ในกลุ่มคนที่ควบคุมอาหารมากๆ เป็นมังสวิรัต สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการดูดซึม ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดข้อ เลือดออกตามไรฟัน แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย ปริมาณวิตามินซีที่รางกายต้องการขั้นต่ำต่อวันคือ 60 มก. ในรายที่ขาดวิตามินซีแพทย์จะแนะนำให้กินวันละไม่เกิน 1000 มก. เพื่อประโยชน์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย แต่ในช่วงที่เป็นหวัดควรกินวันละ 3000 มก. แบ่งเป็น 3-6 เวลา ตลอดทั้งวัน จะลดความรุนแรงของหวัดได้มากที่สุด 85%
วิตามินบีรวม เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน บี 1, บี 2, ไนอะซีน, แพนโทธีนิก แอซิด, บี 6, บี 12, โฟลิก แอซิด, ไอโนซิทอล และโคลีน วิตามิน บี รวมนอกจากจะเหมาะสำหรับการบำรุงสุขภาพผิว ผม สายตา ตับแล้ว ยังมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาความผิดปกติของเส้นประสาทและคลายความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้หลายคนไม่รู้ว่าวิตามินบียังช่วยให้กระฉับกระเฉง ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนดึกหรือนอนหลับยาก การกินวิตามินบีก่อนนอนอาจทำให้คุณกลายร่างเป็นนกฮูกตาค้างไปทั้งคืน สำหรับปริมาณในการกินวิตามินบีเพื่อเป็นอาหารเสริมควรอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 มก. ต่อวัน
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส มีประโยชน์ช่วยต้านการอักเสบ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยป้องกัน และยับยั้งการลุกลามของภาวะประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน บำรุงผิวพรรณ รักษาผิวหนังอักเสบ นอกจากนี้ยังพบรายงานวิจัยบ่งชี้ว่าการรับประทานน้ำมันอีฟนิงพริมโรส มีผลในการรักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติ คลายการเจ็บเต้านมช่วงก่อนมีประจำเดือน และช่วยบรรเทาอาการปวดบวมของข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ แม้อีฟนิ่งพริมโรสจะถูกโฆษณาและโหมสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ แต่ทางที่ดีควรใช้เท่าที่จำเป็น ไม่เกิน 3,000 มก. ต่อวัน สำหรับผลข้างเคียงอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ผื่นแพ้และลมชักกำเริบ
กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่เน้นสรรพคุณเรื่องผิวขาว มักอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำซึ่งสามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการกินกลูตาไธโอนจึงแทบจะไม่มีเลย ทำให้มีคนพยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนยากินมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นก็ยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน
Zinc(สังกะสี) เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาบาดแผลในร่างกายและช่วยให้ร่างกายดำรงความสมดุลในผู้ใหญ่ และช่วยทำให้เกิดความเจริญเติบโตในเด็ก ควบคุมฮอร์โมน สังเคราะห์โปรตีน ช่วยสร้างเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน zinc ประกอบด้วยเอ็นไซม์ที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญ ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระโดยปัจจัยต่าง ๆ หน้าที่ของ zinc ที่น่าสนใจก็คือการช่วยควบคุมอาการผิดปกติของผิวและช่วยในการรักษาบาดแผล อาหารเสริม zinc จะให้ผลดีที่สุดหากกินก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร อย่างไรก็ดีหากมีอาการปวดท้องควรกินพร้อมอาหาร และไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมหรือฟอสฟอรัสสูงเพราะอาจทำให้การดูดซึมสังกะสีลดลง
จำให้ขึ้นใจ วิตามินไม่ใช่ยาวิเศษ!
" วิตามินไม่สามารถทดแทนอาหารได้ และไม่สามารถดูดซึมได้หากไม่ได้รับประทานร่วมกับอาหาร
" วิตามินไม่ใช่ยากล่อมประสาท
" วิตามินไม่สามารถทดแทนโปรตีนหรือสารอาหารอื่น เช่น เกลือแร่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำ หรือแม้แต่ทดแทนกันเอง โดยตัวของวิตามินเองแล้วไม่ใช่ส่วนประกอบของโครงสร้างในร่างกายเรา คุณไม่สามารถเลิกกินอาหารอื่นๆ และหันมากินแต่วิตามิน เพื่อสุขภาพที่ดีได้
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3378.0
สัญญาณร้าย อยากให้ร่างกายขับพิษ
พูดเรื่อง Detox หลายคนจะคิดว่าเอาของเก่ามาขาย แต่สาวๆ Detox ที่รู้ๆ กันมาน่ะ มันถูกต้องแล้วหรือ? เรามีข้อมูลแน่ๆ มาชี้แจงแถลงไขกัน
การล้างพิษหรือ Detox นั้นย่อมาจากคำว่า Detoxification หมายถึง กระบวนการในการล้างสารพิษ (Toxin) ออกจากร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ เพราะกว่า 90% ของโรคเกิดจากการสะสมพิษในลำไส้ใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การสะสมพิษ เช่น อุจจาระตกค้าง ตะกรัน(Chronic dunk) ที่ลำไส้ใหญ่ หรือ อาการท้องผูก เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเราอ่อนแอและเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ง่ายเนื่องจากลำไส้เป็นอวัยวะที่ร่างกายเราไม่สามารถมองเห็นได้ จึงถูกละเลยในการดูแลนั่นเอง
สัญญาณร้าย อยากให้ร่างกายขับพิษ
โดยปกติแล้วถ้าภายในร่างกายของเรามีของเสียและสารพิษสะสมในปริมาณ ที่เป็น อันตรายถึงขั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ ร่างกายย่อมจะส่งสัญญาณเตือนออกมาให้เราได้รับทราบว่ามันกำลังต้องการความ ช่วยเหลือและความเอาใจใส่จากเราให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว ซึ่งมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
• นอนหลับยาก หรือรู้สึกว่านอนไม่พอร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เซื่องซึม หดหู่ไม่กระปรี้กระเปร่า
• ปวดศีรษะ มึนงงบ่อยๆ หรืออาจปวดถึงขั้นเป็นไมเกรนอารมณ์แปรปรวนง่าย ประสาทตึงเครียด ขี้ลืม สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออก
• ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยง่าย ผิวแห้งและหยาบกร้าน ดูแก่กว่าวัย มีสิวและผดผื่นขึ้น
• มีกลิ่นปาก หรือมีแผลในช่องปากลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
• จุก เสียด แน่นท้อง ปวดท้องเป็นประจำ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารมีปัญหา มักเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ระบบขับถ่ายมีปัญหา ท้องผูกเป็นประจำ หรือท้องเสียง่าย เป็นริดสีดวงทวาร
• เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ใครเข้าข่ายมีอาการร้ายๆ ดังข้างต้น ก็ถึงเวลาแล้วนะคะที่จะลด ละ เลิด และหันกลับมาใส่ใจ Detox ร่างกายให้กลับมาปิ๊งกันดีกว่า
ที่มา
http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=1fb9d6e7b37a1d30ccf8910e2e8dfc57&topic=3391.0
10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน
10 สายพันธุ์สุนัขที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน
1. ดัชชุน (Dachshund)
ดัชชุนตัวยาว หูยาว ขาสั้น ถ้าปล่อยปะละเลยเรื่องสุขภาพเพียงนิดเดียว เจ้าดัชชุนอาจกลายเป็นไส้กรอกยักษ์ พุงติดพื้นก็เป็นได้นะคะ เพราะดัชชุนขึ้นชื่อว่าเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากที่สุดพันธุ์หนึ่งโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอายุเริ่มมากขึ้น อาการขี้เกียจก็เพิ่มขึ้น เคลื่อนไหวน้อยลง นอนมากขึ้น ในขณะปริมาณอาหารอาจเพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิม ซึ่งโรคอ้วนของดัชชุนจะนำไปสู่โรคอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อกระดูก โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง เนื่องจากดัชชุนเป็นน้องหมาตัวยาวจึงต้องรับแรงกดจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อเป็นโรคหัวใจ ดังนั้นเจ้าของดัชชุนจึงต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับโภชนาการอาหารและการออกกำลังกายเป็นพิเศษ ควรหาอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง แคลอรี่ต่ำ ให้อาหารน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง พาพวกเขาออกไปเดินเล่น ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน หรือจะพาไปว่ายน้ำก็ได้นะคะ จริงๆแล้วดัชชุนเป็นสุนัขที่รักการว่ายน้ำ เริ่มแรกเขาอาจกลัว ค่อยๆ พาเขาลงสระ อาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่สักพักเขาจะเริ่มชิน แล้วทีนี้ก็จะติดใจจนไม่อยากขึ้นจากสระเลยล่ะค่ะ
2. ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)
ลาบราดอร์ น้องหมาร่างใหญ่ รักการวิ่งเล่นและว่ายน้ำ แนวโน้มเป็นโรคอ้วนโดยพันธุกรรม เพราะพวกเขากินจุ โปรดปรานการลิ้มรสอาหาร ยิ่งกินเยอะ แล้วไม่ออกกำลังกายยิ่งไปกันใหญ่ ขาของเขาจะอวบอั๋นน่าฟัดทีเดียว แต่ถ้าอ้วนมากๆ อาจยิ่งส่งผลก่อให้โรคกระดูกสะโพกเสื่อมซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมอีกโรคหนึ่งทำให้เป็นเร็วและหนักมากขึ้นก่อนถึงเวลาอันควร หรือในทางกลับกัน เมื่อลาบราดอร์อยู่ในวัยชรา กระดูกสะโพกมีปัญหาทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ไม่สามารถออกกำลังกายได้ ได้แต่กินกับนอนจนอ้วน เพื่อนๆ จึงควรเลือกอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ อย่างผักต่างๆ เช่นถั่ว ฟักทอง แครอท และปริมาณไม่มากให้เขากิน ให้ปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยๆ แทนให้เยอะๆ วันละมื้อ หรือ 2 มื้อ และควรพาเขาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน โยนลูกบอล พาไปว่ายน้ำ แต่ถ้าเขามีปัญหาเรื่องข้อต่อต่างๆ ให้เดินออกกำลังกาย แต่ใช้เวลานานขึ้นหน่อยก็พอค่ะ
3. ปั๊ก (Pug)
ปั๊ก สุนัขพันธุ์เล็ก ร่างบึกบึน หน้าฮา ตาโต โดยปกติแล้วเป็นสุนัขที่มีสุขภาพดี จิตใจอ่อนโยน แต่ปัญหาสุขภาพที่สร้างความเจ็บปวดทรมานแก่พวกเขามากที่สุดคือ โรคอ้วน เพราะพวกเขารักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แล้วมักจะกินมากเกินความต้องการของร่างกาย แม้อาหารที่กินนั้นจะเป็นอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักก็ตาม ดังนั้นผู้เลี้ยงไม่ควรเติมอาหารเขาทุกครั้งที่เห็นว่าชามของเขาว่าง แต่ควรให้อาหารเท่าที่ร่างกายเขาต้องกายแต่พอดี ต้องคอยสังเกตเชคช่วงบริเวณซี่โครงของเขาว่าชักจะตุ้ยนุ้ยมากเกินไปหรือเปล่า ยิ่งเวลาเขามองเรากินด้วยสายตาเว้าวอน ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหิวค่ะ เพราะพวกเขาหิวตลอดเวลาอยู่แล้ว ^__^ นอกจากนี้ผู้เลี้ยงต้องพาเขาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน แต่ควรพาเดินเล่นในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนจัดนะคะ ป้องกันโรคลมแดด (Heat Stroke) ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขารู้สึกร้อนจัด ต้องคอยฟังเสียงลมหายใจ สังเกตดูว่าเขาเหนื่อยหรือเปล่า การออกกำลังกายน้องปั๊กต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ควรห้ามโหมฟิตหุ่นเขาหนักเกินไป เดี๋ยวน้องปั๊กจะยกธงขาวยอมแพ้เสียก่อนนะคะ ช้าแต่ชัวร์ปลอดภัยกว่าค่ะ
4. เพ็มโบรค เวลช์ คอร์กี้ (Pembroke Welsh Corgi)
ดูจากรูปร่างแล้ว หลายคนไม่คิดว่าน้องเพ็มโบรคเชียร์ เวลช์ คอร์กี้ จะเป็นน้องหมาที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนได้สูงมากที่สุดพันธุ์หนึ่งใช่ไหมคะ แต่โรคอ้วนเนี่ยล่ะค่ะ เป็นหนึ่งในโรคประจำสายพันธุ์ของคอร์กี้ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว แล้วยังทำให้เกิดโรคต่างๆ อีก เช่น โรคกระดูกสะโพกเสื่อม โรคข้อต่ออักเสบ ซึ่งสาเหตุโรคอ้วนของพวกเขามาจากนิสัยเลือกปฏิบัติเชื่อฟังคำสั่งบางคำสั่งก็ทำให้มีผลต่อการสร้างวินัยที่ดีทั้งเรื่องการกิน การออกกำลังกาย และด้วยนิสัย รักอิสระ จนออกจะขี้เกียจ กินแล้วก็นอน ไม่ค่อยอยากเคลื่อนไหว หรือออกกำลังกาย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าของต้องคอยกระตุ้น สร้างวินัย ทั้งการกิน การออกกำลังกาย เผาผลาญแคลลอรี่ส่วนเกินจากการบริโภคในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนของน้องพ็อมฯ อาจเกิดจากโรคเบาหวาน หรือโรคที่มีการผลิตฮอร์โมนมากเกินไป ดังนั้นผู้เลี้ยงควรสังเกตอาการและพาตรวจไปตรวจร่างกายเป็นประจำ
5. บีเกิล (Beagle)
บีเกิลแสนซน ฉลาด ขี้เล่น มีพลังงานเหลือเฟือ ตื่นตัวสุดๆ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินพิกัด เพราะพวกเขารักการกิน ชอบนอนเล่นอยู่กับเจ้าของบนโซฟา พอๆกับชอบซุกซนวิ่งเล่นไปมา แต่กลับไม่ชอบการออกกำลัง ประกอบกับอาวุธประจำกายที่ทำให้เจ้านายต้องพลีอาหารนั่นก็คือ ดวงตาแสนเศร้ากับเสียงร้องหงิง “แบ่งอาหารให้ผมหน่อย” เพียงเท่านั้นพวกเขาก็จะได้อาหารสุดพิเศษมาโดยทันที เพิ่มแคลอรี่ขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว เพราะฉะนั้นอย่าใจอ่อนเด็ดขาดค่ะ เราต้องสร้างวินัยให้เขาทั้งเรื่องการกิน และการออกกำลังกาย เดินเล่นนอกบ้าน ต้องผูกสายจูงให้ดีนะคะไม่งั้นเขาจะเดินดมโน่น ดมนี่ วิ่งเรื่อยเปื่อยจนหลงทาง ถึงแม้บีเกิลจะมีประสาทการดมกลิ่นเป็นเยี่ยมแต่กลับมีปัญหาเรื่องการดมกลิ่นกลับบ้านค่ะ แถมยังชอบวิ่งเข้าหาถนนที่มีรถพลุกพล่านอีกด้วย เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังไม่ให้คลาดสายตาเชียวค่ะ เดี๋ยวการออกกำลังกายกลายเป็นเล่นซ่อนแอบนะคะ
6. มาสทิฟฟ์ (Mastiff)
มาสทิฟฟ์ สุนัขพันธุ์ยักษ์ใหญ่ สายเลือดนักสู้ แต่พ่วงโรคอ้วนมาเป็นหนึ่งในโรคประจำสายพันธุ์ เพราะด้วยนิสัยของมาสทิฟฟ์โดยธรรมชาติแล้วเป็นสุนัขที่มีนิสัยขี้เกียจ ไม่ค่อยขี้เล่น แถมขี้เกียจ ไม่คิดจะหากิจกรรมสร้างสรรค์ที่ใช้พลังงานมาเล่นกับเจ้าของหรือสุนัขตัวอื่นๆ ยิ่งมาสทิฟฟ์เป็นสุนัขตัวโตกินอาหารปริมาณมาก พอไม่ได้ออกกำลังกายก็ยิ่งอืดบวมเข้าไปใหญ่ จนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหรืออาการอื่นๆ ตามมา เช่น โรคเกี่ยวกับข้อต่อกระดูกความเครียด โรคตับ โรคไต รวมทั้งโรคกระดูกสะโพกเสื่อม ผู้เลี้ยงจึงควรพาเขาออกไปเดินหรือวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหรือสนามหน้าบ้าน แต่ไม่ควรพาเขาไปเดินเล่นช่วงอากาศร้อนเพราะมาสทิฟฟส์ทนต่อสภาพอากาศร้อนได้น้อย อาจจะทำให้เกิดโรคลมแดด (Heat Stroke) ได้ ควรพาเขาวิ่งช่วงเช้าหรือเย็น ซึ่งอากาศไม่ร้อนเกินไป ส่วนมาสทิฟฟ์วัยกระเตาะ ผู้เลี้ยงควรฝึกวินัยควบคุมเรื่องอาหารและพาเขาไปออกกำลังเป็นประจำทุกวันเช่นกัน แต่ไม่ควรหักโหมมากนัก เพราะอาจจะทำให้เกินการกระทบกระเทือนต่อข้อกระดูกต่างๆ ที่ยังอ่อนอยู่และกำลังเจริญเติบโต การออกกำลังกายทั้งมาสทิฟฟส์วัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ จึงควรตั้งอยู่บนความพอดีค่ะ
7. บาสเซ็ต ฮาวด์ (Basset Hound)
บาสเซ็ต ฮาวด์ ตัวยาว หน้าย่น เชื้อสายนักล่า และรักการออกไปเที่ยวนอกบ้าน จากคุณสมบัติพวกเขาน่าจะเป็นสุนัขแอคทีฟ สุขภาพดี แต่กลับมีโรคประจำสายพันธุ์ในอันดับต้นๆ เป็นโรคอ้วน นั่นเป็นเพราะว่า ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาในบ้าน อาการขี้เกียจก็กำเริบ กลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาถึงขีดสุด มีจิตวิญญาณแห่งความขี้เกียจสิงอยู่ เขาจะไม่ลุก ไม่เดิน ได้แต่นั่งๆ นอนๆ ถ้าอยากเล่นก็จะเล่นอยู่แต่บนโซฟาได้หลายชั่วโมง ถึงเวลากิน ถาดอาหารก็อยู่ตรงหน้า เคลื่อนไหวนิดเดียวก็ได้กินอาหารสมใจ ไม่นานก็เริ่มอ้วนกลม ย้วยทั้งใบหน้า ทั้งลำตัว แต่ผู้เลี้ยงหลายคนมักรู้สึกว่ายิ่งน้องบาสเซ็ต ฮาวด์อ้วน ยิ่งดูน่ารักมีเสน่ห์ โดยหารู้ไม่เลยว่า โรคอ้วนของพวกเขานี่เองที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะอาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และอาการเสื่อมของกระดูกต่างๆ แล้วนอกจากความขี้เกียจเป็นเหตุแล้ว โรคประจำตัวอย่างโรคหมอนรองกระดูกก็มีผลทำให้พวกเขามีน้ำหนักเกิน เพราะการเคลื่อนไหวที่ยากลำบาก ดังนั้นการป้องกันโรคอ้วนของพวกเขาคือ สร้างสมดุลของการใช้พลังงานกับปริมาณอาหาร เพื่อไม่ให้มีแคลอรี่ส่วนเกินจากพลังงานเหลือใช้ และพาพวกเขาไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน แต่ไม่ใช่แค่พาเดินตามทางอิฐทางบล็อคเท่านั้นนะคะ ต้องพาเขาไปวิ่งในสนามหญ้า หรือพื้นที่โล่งกว้าง ให้เขาได้เผาผลาญพลังงานอย่างเต็มที่ และสลัดเจ้าตัวขี้เกียจออกไป
8. อิงลิช บูลด็อก (English Bulldog)
อิงลิช บูลด็อก น้องหมาตัวเหลี่ยม ล่ำๆ ตันๆ แลดูเจ้าพลัง และค่อนข้างแอคทิฟ ชอบเดินไปนี่ วิ่งไปโน่น แต่เอ๊ะ ทำไมถึงอ้วนได้นะ นั่นเพราะอิงลิชบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนจากพันธุกรรมน้ำหนักขึ้นเร็วมากแม้จะในอาหารปริมาณปกติก็ตาม และโรคอ้วนนี้ยังส่งผลให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจในเวลาต่อมา นอกจากนี้แล้วนิสัยที่ติดมาทางกรรมพันธุ์ก็มีส่วนค่ะ เนื่องจากโดยธรรมชาติ อิงลิช บูลด็อกเป็นสุนัขเงียบขรึม เอื่อยเฉื่อยบางอารมณ์ แถมยังไม่ค่อยชอบออกกำลังกายด้วยเองอีกต่างหาก การพาออกไปเดินเล่น ออกกำลังกายจนเป็นวินัยเป็นวิ่งสำคัญมากๆค่ะ แต่ก็กลับมีปัญหาอีกตรงที่เขาเป็นสุนัขที่ไม่ควรพาออกกำลังกายในอากาศที่หนาว หรืออากาศร้อนมากๆ เพราะพวกเขาเป็นสุนัขขนสั้นทนต่ออากาศหนาวมากไม่ได้ แต่ถ้าอากาศร้อนมาก ก็จะทำให้เกิด โรคลมแดด (Heat Stroke) ที่เกิดจากการได้รับความร้อนมากเกินไปจนอาจทำให้หมดสติได้ ดังนั้นถ้าจะพาเขาเดินเล่นช่วงหน้าร้อนควรพาไปช่วงเวลาที่อากาศไม่ร้อนจัด และควรเตรียมน้ำไว้ให้พร้อมด้วยนะคะ ^^
9. เรดบอร์น คอนฮาวด์ (Redbone Coonhounds)
เรดบอร์น คอนฮาวด์ น้องหมาสายพันธุ์นักล่า ขนาดปานกลาง ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และ มีหนึ่งในโรคประจำสายพันธุ์คือ....โรคอ้วน! ดูเผินๆ คงไม่มีใครเชื่อ ต้องดูลึกกันถึงระดับ DNA เลยทีเดียว แล้วแม้พวกเขาจะเป็นสุนัขที่แอคทีฟ ต้องการการออกกำลังกาย แต่พวกเขาก็ปรับตัวได้ง่ายกับทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิต ยิ่งถ้าเจ้าของเอื่อยเฉื่อยไม่พาไปออกกำลังกายหรือหากิจกรรมให้พวกเขาได้เล่น ได้จัดการกับพลังงานเหลือใช้ สามารถนอนนิ่งๆ หรือนั่งๆ เฉยๆ ไม่เดือดร้อน นอกจากนี้แล้ว เรดบอร์น คอนฮาวด์มีลักษณะนิสัยเช่นเดียวกับสุนัขสายพันธุ์ฮาวด์ตัวอื่นๆ คือกินอาหารเกินความพอดี มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนได้สูงในสายพันธุ์นี้ และโรคอ้วนนี่แหละค่ะ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้สุนัขอายุสั้นลง ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงควรป้องกันโรคอ้วนด้วยการพาเขาออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมปริมาณอาหาร ไม่ตามใจเขาเรื่องกิน เพราะพวกเขากินจุและกินได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว ความอยากอาหารของเขาไม่ได้หมายถึงว่าเขาหิว หรือได้รับอาหารไม่เพียงพอ ผู้เลี้ยงจะต้องใจแข็งนะคะ ไม่อย่างนั้นนอกจากโรคอ้วนจะถามหาแล้ว อาจจะมีโรคข้อต่ออักเสบ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งได้ค่ะ
0. นิวฟาวด์แลนด์ (Newfoundland)
นิวฟาวด์แลนด์ น้องหมาตัวใหญ่ พละกำลังมหาศาล หนึ่งในสายพันธุ์สุนัขที่ไว้ใช้งานที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเนื่องจากหลายสาเหตุทั้งปัญหาของโภชนาอาหารที่พวกเขาได้รับ ระบบการเผาผลาญทำงานไม่ค่อยดีมีประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ และสาเหตุหลักคือการให้อาหารเกินความต้องการของร่างกาย เจ้าของมักคิดว่าตัวใหญ่ต้องกินเยอะเขาถึงจะอิ่ม และมักไม่ค่อยยอมรับว่าพวกเขากำลังอ้วน เพราะร่างที่ใหญ่โต ขนฟูของเจ้านิวฟาวด์แลนด์นั่นเอง และถึงแม้พวกเขาจะชอบให้พาจูงไปเดินเล่นออกกำลังกาย ทว่ากลับเป็นสุนัขที่ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้นหากิจกรรมมาเล่น ถ้าไม่มีใครพาไปก็จะนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้าน ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงต้องหมั่นพาไปออกกำลังกาย โดยการเดินเล่นในสวนสาธารณะหรือวิ่งเหยาะๆ บนทางเดินปูอิฐท่ามกลางอากาศเย็นกำลังดี หรือพาไปว่ายน้ำ ไม่ควรให้เขาวิ่ง เพราะตัวของพวกเขาใหญ่และหนักมากจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อต่อต่างๆ ได้ง่าย และไม่ควรพาวิ่งในช่วงเวลาที่อากาศร้อนเพราะจะทำให้เกิดโรคลมแดด จึงควรสังเกตดูอาการผิดปกติของเขาอย่างใกล้ชิดนะคะ
ที่มา
http://www.dogilike.com/content/tip/1746/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.php
สิ่งควรทำเมื่อเลี้ยงน้องหมาในคอนโด
สิ่งควรทำเมื่อเลี้ยงน้องหมาในคอนโด
ฝึกน้องหมาให้ขับถ่ายเป็นที่
การฝึกน้องหมาขับถ่ายให้เป็นที่ต้องเริ่มตั้งแต่น้องหมายังเล็ก โดยอาจจะฝึกให้น้องหมาขับถ่ายในห้องน้ำสุนัข โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปูรองด้านล่าง ซึ่งน้องหมาจะสามารถจำกลิ่นของคาร์บอนที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ได้ ในครั้งต่อๆ ไปน้องหมาก็จะกลับมาขับถ่ายที่เดิมค่ะ ... ง่ายๆ เพื่อสุขลักษณะที่ดี และไม่กลายเป็นปัญหาในระยะยาวนะคะ
เห็บหมัดอย่ามากวนใจ
การรักษาความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งภายในห้อง และตัวของน้องหมาเอง แน่นอนค่ะว่า เห็บหมัดกับน้องหมาเป็นของคู่กัน แต่เราสามารถควบคุมได้ โดยการหมั่นดูแลรักษาความสะอาดตัวน้องหมา ที่นอน หรือมุมอับที่อาจแหล่งเพาะพันธุ์ของเห็บหมัดค่ะ
น้องหมาเห่าพร่ำเพรื่อ
เสียงเห่าเป็นสัญชาตญาตธรรมชาติของน้องหมา แต่อาจสร้างความรำคาญ และอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่กับเพื่อนข้างห้องได้ เพราะฉะนั้นการฝึกน้องหมาไม่ให้เห่าพร่ำเพื่อจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของอย่างเราต้องใส่ใจ จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลังนะคะ ซึ่งสามารถศึกษาได้จากบทความ จัดการปัญหาน้องหมาเห่าพร่ำเพรื่อ การฝึกไม่ให้เห่ามั่ว!!
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เจ้าของน้องหมาที่นำน้องหมาเข้าไปเลี้ยงภายในคอนโดต้องมีความรับผิดชอบต่อ สังคม ไม่สร้างภาระ หรือความเดือนร้อนให้แก่คนอื่นๆ ภายในคอนโด หากน้องหมาอึ หรือฉี่ บริเวณนอกห้อง หรือที่สาธารณะต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย ... คงไม่มีใครชอบถ้าเดินๆ อยู่แล้วมีอึน้องหมาติดรองเท้า = ="
สายจูงคล้องใจ
เพื่อความปลอดภัย และป้องกันปัญหาน้องหมากัดกัน การมีสายจูงไว้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้เราสามารถควบคุมน้องหมาให้อยู่ข้างกาย ปลอดภัยทั้งน้องหมาของเขาและของเราเลยค่ะ
สุขภาพแข็งแรงคือสิ่งสำคัญ
พื้นที่ในคอนโดอาจไม่กว้างพอที่น้องหมาจะวิ่งเล่นได้ เพื่อนๆ จึงต้องหมั่นพาน้องหมาออกไปวิ่งเล่น ออกกำลังกาย ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อมข้างนอกบ้าง นั่นก็เพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งยังทำให้น้องหมาไม่เครียดด้วยนะคะ
หมั่นตรวจสุขภาพ พื้นฐานที่ต้องทำ ...
คงไม่มีใครอยากให้น้องหมาแสนรักต้องจากไป การหมั่นพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรักสุนัขไม่ควรละเลยค่ะ
เมื่อเรามีโอกาสนำน้องหมาเข้าไป เลี้ยงในคอนโดแล้ว เราก็อย่าลืมรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างภาระ หรือความเดือนร้อนให้แก่คนอื่นๆ ด้วยนะคะ และเพื่อนๆ ก็ต้องรัก และดูแลใส่ใจน้องหมามากๆ ... เพราะว่าเค้าจะอยู่เป็นเพื่อนเราไปอีกนานค่ะ นอกจากนี้เพื่อนๆ ควรสอบถามกฏระเบียบของคอนโด รวมถึงอพาร์ทเม้นท์ และหอพักแต่ละแห่งด้วยนะคะ ว่าที่ไหนอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นำสัตว์เข้าไปเลี้ยง ศึกษาและทำอย่างถูกต้องจะดีที่สุดและไม่เกิดปัญหาภายหลังนะคะ^^"
ที่มา
http://www.dogilike.com/content/tip/1819/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94.php
10 อันดับสุนัขที่เหมาะกับการเลี้ยงที่คอนโด
10 อันดับสุนัขที่เหมาะกับการเลี้ยงที่คอนโด
ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier)
น้องหมายอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เป็นน้องหมาตัวเล็กน่ารัก ต้องการพื้นที่ในการเลี้ยงดูน้อยจึงเหมาะกับการเลี้ยงอยู่ในคอนโด ยอร์คเชียร์เป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่า ปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นมิตรกับคน และสัตว์อื่นๆ อีกด้วยค่ะ
มอลทีส (Maltese)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า น้อหมา มอลทีส เป็นน้องหมาที่มีหน้าตาน่ารักน่ากอด แถมนิสัยดีอีกต่างหาก ... มอลทีสเหมาะกับการเลี้ยงอยู่ในคอนโด เพราะเป็นสุนัขที่ชอบความสงบ ถึงแม้ว่าขนของมันจะยาวแต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากในการทำความสะอาด และที่สำคัญคือเจ้า มอลทีส รู้จักอยู่ และขี้อ้อนกับเจ้าของเอามากๆ เลยค่ะ
เฟรนช์ บูลด็อก (French Bulldog)
เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในเมืองไทย ด้วยหน้าตา และหุ่นล่ำๆ ที่ใครเห็นต่างก็ต้องหลงรัก ... เฟรนช์ บูลด็อก เป็นน้องหมาที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง ชอบความสงบ และชอบนอนผ่อนคลายบนโซฟานุ่มๆ ถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาน้องหมาสักตัวหนึ่ง เฟรนช์ บูลด็อก ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีทีเดียวค่ะ
ปั๊ก (Pug)
หน้าซื่อ ใจดี ไม่มีปากเสียง รักเจ้าของ และแอบซนบ้างนิดๆ เป็นนิสัยของน้องหมาสายพันธุ์นี้เลย ... ปั๊กเป็นสุนัขที่ชอบอยู่กับคน จึงเหมาะที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนมากๆ ค่ะ ถึงปั๊กจะตัวเล็กแต่ก็แข็งแกร่ง และเป็นตัวตลกโดยธรรมชาติ ที่จะทำให้เราหัวเราะได้เสมอ ถ้ามีพื้นที่น้อยหรืออาศัยในห้องชุด ปั๊ก จะเป็นคำตอบสำหรับเพื่อนๆ แน่นอน
ชิวาวา (Chihuahua)
ชิวาวา น้องหมาไซด์มินิที่มีความโดดเด่นเรื่องตัวเล็กแต่ใจใหญ่ มีประสาทสัมผัสที่ไวมาก จึงสามารถเลี้ยงไว้เพื่อเห่าเตือนภัยได้เป็นอย่างดี ชิวาวา เป็นหมาขี้อ้อน ติดเจ้าของ และถึงแม้ว่าชิวาวาจะเป็นน้องหมาตัวจิ๋ว แต่ก็มีพลังงานเยอะ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ คนไหนที่คิดจะเลี้ยงน้องหมาพันธุ์นี้ไว้ที่คอนโด ก็อย่าลืมพาไปออกกำลังกาย จะได้มีสุขภาพแข็งแรงนะจ้ะ ...
ดัชชุน (Dachshund)
ดัชชุน หรือ หมาไส้กรอก เป็นสุนัขฉลาด สดใส และกล้าหาญโดยไม่คำนึงถึงอันตราย ไม่ค่อยสร้างความยุ่งยาก ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน หากได้รับการฝึกอย่างถูกวิธี มันจะเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังคำสั่ง และที่สำคัญ ดัชชุน สามารถเข้ากับเด็กได้ดีอีกด้วยค่ะ
ชิสุ (Shih-Tzu)
ชิสุเป็นสุนัขที่แข็งแรง ร่าเริง กระตือรือร้น ขี้ประจบ รักษาสะอาด เป็นมิตร จึงปรับตัวได้ดีกับเด็กๆ ชิสุชอบวิ่งและรักความสนุก ซึ่งเพื่อนๆ จำเป็นที่จะต้องพามันออกไปวิ่งออกกำลังกายบ้างนะคะ
ปาปิยอง (Papiyong)
ปาปิยอง เป็นน้องหมาที่ติดคนเอามากๆ จึงเหมาะที่จะเลี้ยงภายในอาคาร อีกทั้งยังเป็นสุนัขรักสะอาดมากๆ เลยจ้า ... ปาปิยอง ไม่ต้องการการออกกำลังกายมากนัก แต่เพื่อนๆ ก็ควรพาน้องหมาออกไปเดินและวิ่งเล่นบ้าง น้องหมาสายพันธุ์นี้ไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้า แต่ก็จะไม่แสดงความก้าวร้าวออกมาให้เห็น จึงสามารถอยู่ร่วมกับสัตว์อื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ปาปิยอง ยังขึ้นชื่อเรื่องความจงรักภักดี พร้อมจะปกป้องเจ้าของจากผู้บุกรุกชนิดยอมตายถวายชีวิตเลยทีเดียว
อิงลิช บูลด็อก (English Bulldog)
ถึงแม้ว่า อิงลิช บูลด็อกจะดูเป็นน้องหมาตัวใหญ่แต่มันก็ชอบและมีความสุขที่จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ โดยไม่ต้องการพื้นที่มาก อีกทั้งยังเป็นสุนัขที่สงบ เรียบร้อย มีเสน่ห์ น่ารัก และอาจเปลี่ยนใจคนไม่ชอบน้องให้หันมาหลงรักได้อย่างเต็มเปาหากได้อยู่ใกล้ชิด และได้สบตากับมัน ... (จริงหรือเปล่าสาวกอิงลิช ^^" )
บาสเซ็ต ฮาวด์ (Basset Hound)
บาสเซ็ต ฮาวด์ เป็นน้องหมารักสงบ ชอบหมกมุ่นและสนใจอยู่กับของเล่น ของกิน บาสเซ็ต ฮาวด์ เป็นน้องหมาที่มีพลังงานมาก จึงต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการสร้างสมดุลให้กับร่างกายและป้องการเกิดโรคอ้วนด้วยล่ะค่ะ ...
นอกจากนี้ก็ยังมีพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) ที่นิยมเลี้ยงกัน แต่อาจจะไม่เหมาะเท่า 10 สายพันธุ์ที่กล่าวมาเพราะน้องปอม เป็นน้องหมาตัวเล็ก ขี้ตกใจ และเห่าเก่งเอามากๆ ซึ่งอาจสร้างความรำคาญให้เพื่อนข้างๆ ห้องได้ค่ะ แต่ถ้าหากเพื่อนๆ รักและอยากที่จะเลี้ยงปอมเมอเรเนียนแล้วล่ะก็ เพื่อนๆ ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ โดยสามารถฝึกเค้าไม่ให้เห่า สร้างความรำคาญได้จ้า
ที่มา
http://www.dogilike.com/content/tip/1819/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94.php
วิธีการอ่านหนังสือให้ได้ผลดีที่สุดของแต่ละกรุ๊ป
ที่มา
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2251885
วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556
สีผมบอกนิสัยคุณได้!
สีผมบอกนิสัยคุณได้!
รู้หรือไม่ว่า...สีผมของคุณที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด สามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร มีลักษณะนิสัยแบบไหน จะจริงเท็จแค่ไหนเรามาพิสูจน์กันคะ
ผมสีดำหรือดำออกน้ำตาล
คนที่มีผมสีนี้ ค่อนข้างจะเป็นคนมีความคิด มีความมั่นคง และบางคนอาจจะอ่อนแออย่างที่เราคิดไม่ถึงเลยทีเดียว เนื่องจากมี 2 บุคลิกในคนเดียวกัน จึงมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นคนที่มีคนรัก หรือคนรู้ใจแบบนี้ต้องทำใจนิดนึง เนื่องจากเขาหรือเธอมีอารมณ์ค่อนข้าง แปรปรวนบ่อย หงุดหงิดง่าย แต่หายเร็วคะ
ผมสีแดงทองบลอนด์
เป็นอีกบุคลิกหนึ่งของความอ่อนไหวอยู่ภายในตัว ความที่เป็นคนอ่อนไหวเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ แถมใจร้อนอีกต่างหาก อารมณ์เปลี่ยนได้ง่าย ๆ ชนิดที่เรียกว่าคนรอบข้างตามแทบไม่ทัน ระวังหน่อยนะคะ อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยเดี๋ยวคนข้างๆ เค้าจะเบื่อแล้วหนีไปมีกิ๊กใหม่ เค้าเตือนแล้วน้า เค้าบอกแล้วน้า เก็บอารมณ์ไว้บ้างก็ดีน้า
ผมสวยไม่หยิกไม่ฟู
คนที่มีผมลักษณะแบบนี้มักจะเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ แต่ก็เป็นคนมีความละเอียดอ่อนและรอบคอบ เหมาะกับงานแบบที่ต้องอาศัยความละเอียดถี่ถ้วน รับรองได้เลยว่าเขาหรือเธอจะโชว์ฝีมือให้คุณดูได้อย่างดีเยี่ยม
ผมหยิกแห้งเสียหรือฟูฟ่องเป็นสิงโต
ใครที่มีผมลักษณะนี้ เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำโดยเฉพาะ มักจะทำในเรื่องใหญ่โต มีความรับผิดชอบสูง จะคอยเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำงาน มักคอยแจกงานให้สาวผมสวยอยู่เรื่อย ไม่ค่อยมีความรอบคอบนัก แต่รู้จักใช้คนทำงานให้ค่อนข้างจะเชื่อมั่นในตัวเองสูงเลยทีเดียว
ที่มา
http://free.horoworld.com/40904_%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89
10 อันดับสัตว์ที่สวยที่สุดในโลก
10 อันดับสัตว์ที่สวยที่สุดในโลก
อันดับที่ 9 เต่าทะเล (อังกฤษ: Sea turtle) เป็นเต่าที่อยู่ในวงศ์ใหญ่ Chelonioidea ซึ่งวิวัฒนาการจนสามารถอาศัยอยู่ได้ในทะเลตลอดเวลา โดยจะไม่ขึ้นมาบนบกเลย นอกจากการวางไข่ของตัวเมียเท่านั้น
อันดับที่ 8 หมีขาว หรือ หมีขั้วโลก (อังกฤษ: Polar bear, รัสเซีย: Белый медведь, ชื่อวิทยาศาสตร์: Ursus maritimus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) จัดเป็นหมีชนิดหนึ่ง
อันดับที่ 7 เสือโคร่ง หรือ เสือลายพาดกลอน (อังกฤษ: Tiger, จีน: 虎, ญี่ปุ่น: トラ, สเปน: Tigre) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris ในวงศ์ Felidae จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดที่สุดในวงศ์นี้ และเป็นเสือสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดด้วย
อันดับที่ 6 เสือ (อังกฤษ: big cat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ฟิลิดีซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมวโดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่า[1]และอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 – 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 – 245 กิโลกรัม[2] รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้งโลกมีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย[3]
เสือจัดเป็นสัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง โดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขราม ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือเสือดาว ผู้ที่พบเห็นเสือในครั้งแรกย่อมเกิดความประทับใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความหวาดหวั่นเกรงขามในพละกำลังและอำนาจภายในตัวของพวกมัน เสือจึงได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งสัตว์ปา และเป็นจ้าวแห่งนักล่าอย่างแท้จริง
อันดับที่ 5 สิงโตขาว (อังกฤษ: White lion) หรือ สิงโตทรานเวล (อังกฤษ: Transvaal lion)[1] เป็นสิงโตสายพันธุ์ย่อยสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าPanthera leo krugeri เป็นสิงโตที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสิงโตสายพันธุ์อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ มีขนสัตว์ขนสีน้ำตาลอ่อนกว่าสิงโตทั่วไป จนคล้ายเป็นสีขาว ซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรม โดยที่มิใช่สัตว์เผือก
อันดับที่ 4 โลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำและมีสติปัญญาสูงชนิดหนึ่ง มีเชื้อสายใกล้เคียงกับ วาฬ ในภาษาอังกฤษเรียกโลมาว่าDolphin มาจากภาษากรีกโบราณ δελφίς เดลฟิส (delphis) ตำนานกรีก เล่าว่า เทพแห่งไวน์ของกรีก ชื่อ ไดโอนีซอส (Dionysos) แปลงลงมาเป็นมนุษย์ และได้โดยสารเรือข้ามจากเกาะอิคาเรีย (Ikaria) ไปยังเกาะนาซอสในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไดโอนีซอสนั้นแม้จะเป็นเทพ ทว่าไม่มีญาณหยั่งรู้ว่าเรือลำที่ตนโดยสารไปนั้นเป็นเรือโจร ลูกเรือจะปล้นผู้โดยสารทุกคนถ้วนหน้า เมื่อถึงคราวของไดโอนีซอส เขาจึงถูกลูกเรือปล้น และคิดจะจับเขาไปขายเป็นทาส ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำต้องแสดงตนว่าเป็นเทพ และสาปให้เรือมีเถาองุ่นขึ้นเต็ม มีเสียงขลุ่ยดังขึ้น พวกลูกเรือตกใจ จึงกระโดดน้ำหนีไปหมด และได้กลายร่างเป็นปลาโลมา มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อกลายเป็นปลาโลมา นิสัยของลูกเรือก็เปลี่ยนไปด้วย กลายเป็นสัตว์ที่ใจดี มีเมตตา แถมยังช่วยเทพแห่งสมุทร คือ โพซิดอนหาเจ้าสาวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ปลาโลมาจึงได้รับเกียรติจากโพซิดอน ตั้งชื่อ กลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งว่า กลุ่มดาวโลมาอีกด้วย ที่จริงแล้วโลมาเคยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่บนบกเหมือนมนุษย์ แต่เพื่อความพยายามหาอาหาร เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และหนีศัตรู โลมาจึงค่อยๆปรับตัวให้ลงไปอยู่ในน้ำ เพื่อความอยู่รอดแทน นั่นเป็นตำนานของคนโบราณ แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลมาเป็นสัตว์เลือดอุ่นอาศัยอยู่ในน้ำ คลอดลูก เป็นตัว แถมยังเลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนมนุษย์
อันดับที่ 3 อินทรี (อังกฤษ: Eagle, ละติน: Aquila) เป็นนกจำพวกนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ ในวงศ์ Accipitridae อันดับ Falconiformes (วงศ์และอันดับเดียวกับ เหยี่ยว) มีโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแรง ประกอบด้วยโครงกระดูก กล้ามเนื้อ ส่วนต่าง ๆ ขน และกรงเล็บเป็นหลัก จัดอยู่ในประเภทนกที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร มีขนาด ปีก และ หาง ที่กว้าง ลักษณะปลายปีกแหลมหรือปีกแตก จะงอยปากงองุ้มเป็นตะขอ อินทรีเป็นนกที่มีลักษณะสวยงาม แข็งแรง สายตาคม บินเร็ว โจมตีแม่นยำ มองเห็นเป้าหมายได้จากระยะไกล มีเพดานบินตั้งแต่พื้นราบจนถึงความสูง 2,100 เมตร และจัดได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีสายตาดีที่สุดในโลกซึ่งส่วนใหญ่จะมีสีเข้มและสร้างรังบนหน้าผาที่สูงชัน
อันดับที่ 2 แมวป่า หรือ เสือกระต่าย หรือ เสือบอง (อังกฤษ: Jungle cat, Swamp lynx) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือขนาดเล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Felis chaus อยู่ในวงศ์ Felidae มีรูปร่างคล้ายแมวบ้าน (Felis silvestris catus) มีลักษณะเด่นคือ มีหูแหลมยาวเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีกระจุกขนยื่นออกมาจากปลายใบหูแลดูคล้ายกระต่าย จึงเป็นที่มาของชื่อ เสือกระต่าย ขายาว หางสั้นมีลายสีเข้มสลับเป็นปล้อง ๆ ขนปลายหางมีสีดำตามลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง บริเวณหลังมีสีน้ำตาลเข้ม สีขนบริเวณท้องจะอ่อนกว่าลำตัว แมวป่า นับเป็นเสือในสกุล Felis ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความยาวลำตัวและหัว 50-56 เซนติเมตร ความยาวหาง 26-31 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 4-6 กิโลกรัม
อันดับที่ 1 หมาป่าเคราขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Chrysocyon brachyurus, อังกฤษ: Maned wolf) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในวงศ์สุนัข (Canidae) เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Chrysocyon พบในทวีปอเมริกาใต้ ในประเทศบราซิล, ประเทศปารากวัย และประเทศโบลิเวีย หมาป่าเคราขาวมีลักษณะโดยผิวเผินคล้ายคลึงกับหมาจิ้งจอก แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก โดยสูงถึงสามฟุตนับจากเท้าถึงหัวไหล่ และมีน้ำหนักประมาณ 20 ถึง 25 กิโลกรัม ขนลำตัวเป็นสีแดงน้ำตาล โดยมีขนขาและหลังคอเป็นสีดำ ขนปลายหางและใต้ลำคอเป็นสีขาว ขนดำที่หลังคอเป็นขนยาวและตั้งชันได้เวลากลัวหรือต้องการแสดงความก้าวร้าว
ที่มา
http://kidthepsurin.wordpress.com/2012/08/23/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)